ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ
ระหว่าง 29 สิงหาคม 2559 - 04 กันยายน 2559
ภาคเหนือ
ในช่วงวันที่ 29-30 ส.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 31 ส.ค. - 3 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม. /ชม.
- ไม้ดอก เนื่องจากดินและสภาพอากาศชื้น เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่นโรคใบจุด และดอกเน่า ในเบญจมาศ โรคใบจุดสีดำในกุหลาบ เป็นต้น
- กาแฟ ชาวสวนกาแฟควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคราสนิม โดยดูแลสวนให้โปร่ง และเก็บกวาดใบและกิ่งที่เป็นโรคไปกำจัด
- ลำไย ที่เก็บเกี่ยวผลผลิตไปแล้วควรตัดแต่งกิ่ง และใส่ปุ๋ย เพื่อให้ต้นฟื้นตัวได้เร็ว มีเวลาพักตัวได้นานขึ้น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในช่วงวันที่ 29-30 ส.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 31 ส.ค. - 3 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม. /ชม.
- ข้าวนาปี ฝนตกสภาพอากาศชื้น ชาวนาควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคไหม้ เป็นต้น
- สัตว์เลี้ยง ไม่ควรปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในที่ชื้นแฉะเป็นเวลานาน เพราะจะอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย โดยเฉพาะโรคปากและเท้าเปื่อยในสัตว์เท้ากีบ
- พืชไร่ เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่นโรคใบจุดสีน้ำตาลในมันสำปะหลัง และโรคแส้ดำในอ้อย เป็นต้น
ภาคกลาง
ในช่วงวันที่ 29-30 ส.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 31 ส.ค. - 4 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม. อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
- พื้นที่การเกษตร พื้นที่การเกษตรที่อยู่ในที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดระบบระบายน้ำในแปลงปลูกให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำขังในพื้นที่เพาะปลูก รวมทั้งเตรียมอุปกรณ์สำหรับสูบน้ำเอาไว้ให้พร้อมใช้งาน
- สัตว์เลี้ยง เกษตรกรควรยกพื้นคอกสัตว์ให้สูง ดูแลหลังคาโรงเรือนอย่าให้รั่วซึม ทำแผงกำปังฝนสาด ป้องกันสัตว์เปียกฝนหนาวเย็นจนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
- สัตว์น้ำ (ในบ่อ) ไม่ควรปล่อยให้น้ำฝนที่ตกบนดินไหลลงบ่อ เพราะจะทำให้สภาพน้ำเปลี่ยน สัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
ภาคตะวันออก
ในช่วงวันที่ 29-30 ส.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 31 ส.ค. - 4 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
- ไม้ผลดินและอากาศมีความชื้นสูง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของ โรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่นโรครากเน่าโคนเน่าในไม้ผล โรคใบติดในทุเรียนเป็นต้น
- ยางพารา เกษตรกรควรดูแลสวนให้โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นภายในสวนป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วงลูกยางเน่า และโรคหน้ากรีดยาง เป็นต้น
- สัตว์น้ำ (ในบ่อ) ไม่ควรปล่อยให้น้ำฝนที่ตกบนดินไหลลงบ่อ เพราะจะทำให้สภาพน้ำเปลี่ยน สัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
ในช่วงวันที่ 29-30 ส.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 31 ส.ค. - 4 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
- ไม้ผลไม้ผลที่อยู่ในระยะเจริญเติบโตทางผล เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอน ซึ่งเจาะและกัดกินทำให้ผลผลิตเสียหายและด้อยคุณภาพ
- ยางพารา (ฝั่งตะวันออก) อากาศชื้น :ดูแลสวนให้โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นภายในสวน ป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคราสีชมพู และโรคเส้นดำ เป็นต้น
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
ในช่วงวันที่ 29-30 ส.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตรส่วนในช่วงวันที่ 31 ส.ค. - 4 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตรอุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส
- ยางพารา (ฝั่งตะวันออก) อากาศชื้น : ดูแลสวนให้โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นภายในสวน ป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคราสีชมพู และโรคเส้นดำ เป็นต้น
- สัตว์น้ำ ในช่วงที่มีคลื่นลมแรงขึ้น ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งควรระวังและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง
หมายเหตุ สำหรับแผนที่แสดงสมดุลน้ำสามารถดาวโหลดได้ตามลิงค์นี้ http://www.arcims.tmd.go.th/dailydata/PET7day.php และ http://www.arcims.tmd.go.th/dailydata/MonthRain.php
รายงานสถานการณ์สมดุลน้ำใน 7 วันที่ผ่านมา และการคาดการณ์ผลกระทบต่อการเกษตร ในระยะ 7 วันข้างหน้า
- ปริมาณฝนสะสมเดือนสิงหาคม (วันที่ 1 – 28 ส.ค.) ฝนสะสมในช่วงนี้ส่วนใหญ่ 50-300 มม. เว้นแต่บางพื้นที่บริเวณภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคใต้ฝั่งตะวันตก และภาคตะวันออก มีฝนสะสม 300-400 มม.
- ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา ฝนสะสมในช่วงนี้ส่วนใหญ่ 20-100 มม. เว้นแต่บางพื้นที่บริเวณภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน ภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนสะสมเกิน 100 มม.
- ศักย์การคายระเหยน้ำ : ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 20-30 มม. เป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่บางพื้นที่ของบริเวณภาคกลางตอนล่างและภาคตะวันออก มีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 30 – 35 มม.
- สมดุลน้ำ : ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาสมดุลน้ำในช่วงนี้ส่วนใหญ่ 1-100 มม. เว้นแต่บางพื้นที่บริเวณภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนสะสมเกิน 100 มม. ส่วนบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบนและตอนล่างมีสมดุลน้ำสะสม (-1)-(-30) มม.
- คำแนะนำ : ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยมีฝนตก ทำให้สมดุลน้ำมีค่า 1-100 มม. เป็นส่วนใหญ่ และในช่วง 7 วันข้างหน้ายังคงมีฝนต่อไปอีกซึ่งจะเป็นผลดีกับพืชที่อยู่ในระยะเจริญเติบโต แต่เกษตรกรควรระวังป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราซึ่งมักระบาดในช่วงที่ดินและอากาศมีความชื้นสูง ส่วนพื้นที่การเกษตรที่อยู่ในที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดระบบระบายน้ำในแปลงปลูกให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังเมื่อมีฝนตกหนัก
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74