ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และเป็นนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ประจำ สถาบันคอร์เนลล์เพื่อภารกิจของรัฐ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ประเมินความrพึงพอใจของสาธารณชนต่อผลงานของ คณะรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และนายกรัฐมนตรีในรอบปี 2553 ที่ผ่านมา กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เพชรบูรณ์ เชียงราย เชียงใหม่ สุพรรณบุรี นครปฐม กาญจนบุรี ชลบุรี หนองคาย สุรินทร์ อุดรธานี ขอนแก่น สกลนคร นครราชสีมา กระบี่ ชุมพร และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,078 ตัวอย่าง โดยดำเนินการวิจัยข้อมูลในช่วง 1-18 ธันวาคม 2553 ผลการสำรวจพบ ว่าส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
ผลการสำรวจพบ 5 อันดับค่าร้อยละของรัฐมนตรีที่ประชาชนไม่รู้จัก พบว่า รัฐมนตรีที่ประชาชนไม่รู้จัก มากที่สุด มีสองท่านคือ ร้อยละ 42.2 ไม่รู้จักนางสาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ และร้อยละ 42.2 เท่ากันระบุไม่รู้จัก นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รองๆ ลงไปที่ประชาชนไม่รู้จักคือ ร้อย ละ 40.1 ไม่รู้จัก นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ ร้อยละ 36.9 ไม่รู้จักนายศุภชัย โพธิ์สุ และร้อยละ 35.8 ไม่รู้จักนายไชยยศ จิรเมธากร ตามลำดับ
นอกจากนี้ ผู้ทำการสำรวจได้สอบถามถึงความพึงพอใจต่อการทำงานของคณะรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลในรอบปี พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมา พบ ว่า บุคคลในคณะรัฐมนตรีที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในรอบปี พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมา สูงสุดอันดับที่ 1 ได้แก่ นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจจากประชาชนรวมทั้งสิ้น 6.72 คะแนนจาก คะแนนเต็ม 10 คะแนน
อันดับที่สองได้แก่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ได้ 6.02 คะแนน
อันดับที่สาม ได้แก่ นายกรณ์ จาติกวณิช ได้ 5.89 คะแนน
อันดับที่สี่ มีสองท่าน ได้แก่ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี และ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ได้ 5.53 คะแนน เท่ากัน
อันดับที่หก ได้แก่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ 5.44 คะแนน
อันดับที่เจ็ด ได้แก่ นายอลงกรณ์ พลบุตร ได้ 5.37 คะแนน
อันดับที่แปด ได้แก่ นางพรทิวา นาคาศัย ได้ 5.35 คะแนน
อันดับที่เก้า ได้แก่ นายชุมพล ศิลปอาชา ได้ 5.34 คะแนน
และอันดับที่สิบ ได้แก่ นายอิสสระ สมชัย ได้ 5.32 คะแนน
ส่วนอันดับรองๆ ลงไป สามารถดูได้ในตารางแนบท้าย
เมื่อสอบถามถึง ข้อควรปรับปรุงการทำงานของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในปีหน้าที่จะมาถึงนี้ ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 61.3 ระบุต้อง เพิ่มความรวดเร็วฉับไวในการแก้ปัญหา ร้อยละ 60.8 ระวังคนรอบข้างใกล้ชิดจะทำเสียหาย ต้องแสดงความเป็นผู้นำไม่ตกภายใต้อิทธิพลของคนใกล้ ชิด ร้อยละ 59.2 แสดงความสามารถให้เห็นมากกว่า พูด ร้อยละ 56.8 เอาจริงเอาจังต่อเนื่อง ร้อยละ 56.0 ไม่เลือกปฏิบัติ ทำกระบวนการ ยุติธรรมให้เป็นที่ศรัทธาของประชาชน ร้อยละ 51.2 ลงพื้นที่ดูแลปัญหาชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ร้อยละ 50.9 แก้ปัญหาความแตกแยก ใช้สันติวิธี ในการชุมนุม ไม่ใส่สีให้ร้ายกัน ร้อยละ 46.3 เร่งสะสางปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในทุกระดับ ร้อยละ 45.9 ลดความหวาดกลัวต่ออาชญากรรม แก้ปัญหา อาชญากรรมในกลุ่มเด็กและเยาวชน ขจัดแหล่งมั่วสุม ยาเสพติดในชุมชนครั้งใหญ่ และร้อยละ 13.2 ระบุอื่น ๆ เช่น กล้าตัดสินใจ สลัดคราบนายกฯ เด็ก สร้างสีสรรค์ ลดความเบื่อหน่ายทางการเมือง ต่อยอดผลงานรัฐบาลทักษิณ เป็นต้น
สำหรับเรื่องที่อยากให้รัฐมนตรีที่ประชาชนไม่รู้จักได้ปรับปรุงแก้ไขในปีหน้านี้ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 60.9 ระบุให้เร่งสร้างผลงาน ให้เป็นรูปเป็นร่าง แสดงผลงานให้เด่นชัด รองๆ ลงไปคือ ความรอบคอบในการทำงาน มีศีลธรรม เข้าถึงประชาชน ลงพื้นที่ดูความเป็นอยู่ของ ประชาชน ทำเรื่องใกล้ตัวประชาชน กลั่นกรองทีมงาน ทีมที่ปรึกษามีคุณภาพ ไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ปรากฎตัวหน้าสื่ออย่างต่อเนื่อง ทำงาน ด้วยความซื่อสัตย์ สามัคคีกันไม่ทะเลาะกัน เป็นรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถ เป็นต้น
ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะน่าจะพิจารณาแนวคิดของการเป็น “รัฐบาลที่ ปลอด อคติแห่งนครา” คือไม่ตกภายใต้อิทธิพลการครอบงำของกลุ่มคนเฉพาะกลุ่มที่มีความสามารถเข้ามากดดัน แสวงหาหรือต่อรองผลประโยชน์ส่วน ตัว กลุ่มคนที่ครอบครองทรัพยากรต้องไม่อยู่แต่ในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่ของประเทศเพียงกลุ่มเดียว และควรเป็น “รัฐบาลแห่งสามัญ สำนึก” ที่รวดเร็วตอบสนองต่อเสียงสะท้อนความเดือดร้อนของสาธารณชนคนทั่วไป ไม่ใหญ่โตเทอะทะ ที่อาจทำให้การตัดสินใจล่าช้า ไม่ต้องมีพิธีรีตอง มากมาย เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง “เปลือก” ที่มาเร็วไปเร็ว แต่ “สาระสำคัญ” อยู่ที่การปูพื้นฐานที่จำเป็นที่จะนำประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนา แล้วทั้งในมิติของโลกตะวันออกและมุมมองของสังคมตะวันตกได้ ผลที่น่าจะตามคือ การเป็นคณะรัฐมนตรีที่สร้างความสุข ความพึงพอใจต่อบทบาทหน้าที่ ของตนในการดูแลรับใช้ประชาชนทุกพื้นที่ของประเทศอย่างเท่าเทียม
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ร้อยละ 51.6 เป็นเพศหญิง
ร้อยละ 48.4 เป็นเพศชาย
ตัวอย่าง ร้อยละ 8.0 อายุไม่เกิน 20 ปีร้อยละ 19.3 อายุระหว่าง 20-29 ปี
ร้อยละ 16.0 อายุระหว่าง 30-39 ปี
และร้อยละ 18.7 อายุระหว่าง 40-49 ปี
ตัวอย่าง ร้อยละ 38.0 อายุระหว่าง 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 60.8 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรีในขณะที่ร้อยละ 33.3 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
และร้อยละ 5.9 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ตัวอย่าง ร้อยละ 31.4 มีอาชีพเกษตรกร รับจ้างแรงงานทั่วไปร้อยละ 26.0 ค้าขายรายย่อย/อิสระ
ร้อยละ 13.1 เป็นพนักงานบริษัทเอกชน
ร้อยละ 10.5 เป็นข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 6.9 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอา
ร้อยละ 6.2 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
และร้อยละ 5.9 ระบุว่างงาน/ไม่ได้ประกอบอาชีพ
โปรดพิจารณารายละเอียดดังตาราง
(ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ เรื่องที่อยากให้รัฐมนตรีที่ประชาชนไม่รู้จักได้ปรับปรุงแก้ไข ในปี 2554 ที่จะมาถึงนี้ ค่าร้อยละ 1 เร่งสร้างผลงานให้เป็นรูปเป็นร่าง/แสดงผลงานให้เด่นชัด 60.9 2 ความรอบคอบในการงาน/มีศีลธรรมในการทำงาน 25.3 3 เข้าถึงประชาชน/ลงพื้นที่ดูความเป็นอยู่ของประชาชน ทำเรื่องใกล้ตัวประชาชน 10.3 4 กลั่นกรองทีมงาน ทีมที่ปรึกษาที่มีคุณภาพ ไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว 8.0 5 ปรากฏตัวต่อหน้าสื่ออย่างต่อเนื่อง 5.7 7 ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ 3.4 8 มีความสามัคคี ไม่ทะเลาะกัน 3.4 9 เป็นรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถ 2.3--เอแบคโพลล์--