ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจแบบเรียลไทม์ (Real-Time Survey) ที่เป็นการสำรวจผ่านระบบฐานข้อมูลครัวเรือนทั่วประเทศด้วยการติดตั้งโทรศัพท์มือถือและโทรศัพท์บ้านให้กับกลุ่มครัวเรือนตัวอย่างที่ผ่านการเลือกตามหลักสถิติความเป็นตัวแทนของครัวเรือนทั้งประเทศ โดยครั้งนี้ได้ทำการสำรวจเรื่อง “ความสุข ความปลื้มปิติของพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศที่ชมรายการโทรทัศน์ถ่ายทอดสดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรที่ทุ่งมะขามหย่อง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา” โดยการศึกษาสัมภาษณ์กลุ่มประชาชนที่ติดตามชมรายการโทรทัศน์จำนวนทั้งสิ้น 1,114 ตัวอย่างทั่วประเทศในระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม 2555 พบว่าค่าเฉลี่ยความสุขของพสกนิกรที่ติดตามชมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรที่ ทุ่งมะขามหย่อง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีค่าความสุขสูงถึง 9.59 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ค่าเฉลี่ยความสุขต่อความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์สูงถึง 9.25 และความสุขต่อความรักความกตัญญูต่อผืนแผ่นดินไทยสูงถึง 9.21 คะแนน
เมื่อทำการสัมภาษณ์เจาะลึกเชิงคุณภาพกับกลุ่มประชาชนทั้งครอบครัวพ่อแม่ลูกที่ติดตามชมพระบารมีของพระองค์ท่านครั้งนี้ พบว่า ส่วนใหญ่มีความสุข ความปลื้มปิติ ตื้นตันใจถึงขั้นน้ำตาคลอ และหลั่งน้ำตาด้วยความยินดีที่เห็นพระองค์ท่านทรงพระพลานามัยแข็งแรง นอกจากนี้ได้สอบถามถึงเด็กเล็กที่กำลังศึกษาอยู่ระดับประถมศึกษาและติดตามชมรายการที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้กับครอบครัวพบว่า ทำให้เด็กๆ ได้เกิดความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักศรัทธาของประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ทั้งประเทศ และเด็กๆ ก็เกิดความรู้สึกรักชาติตามพ่อแม่ผู้ปกครองที่ร่วมดูรายการถ่ายทอดสดครั้งนี้ไปด้วย
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.4 มีความหวังว่าจะเกิดความสงบร่มเย็นภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รองลงมาคือร้อยละ 86.1 มีความหวังจะเกิดความรักความสามัคคีของคนในชาติ และร้อยละ 80.3 มีความหวังจะเกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติ ตามลำดับ
เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากเห็นฝ่ายการเมืองทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีเป็นต้นแบบของประชาชนทั้งประเทศ ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.5 ระบุอยากให้เร่งแก้ปัญหาเดือดร้อน โดยนำโครงการตามแนวพระราชดำริต่างๆ อาทิ โครงการศิลปาชีพ โครงการป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นต้น มาช่วยเหลือประชาชน ร้อยละ 77.4 ระบุอยากให้เลิกทะเลาะกัน หันหน้ามารักกันให้ชาวบ้านดูเป็นตัวอย่าง รองลงมาคือร้อยละ 75.9 ให้เลิกทุจริตคอรัปชั่น เลิกแสวงหาผลประโยชน่ส่วนตัว ให้เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ร้อยละ 74.2 ให้มุมานะทำงานหนักแก้ปัญหาเดือดร้อนของสาธารณชน ร้อยละ 65.8 ให้เลิกโจมตี เสียดสี ใส่ร้ายกัน ร้อยละ 63.9 ไม่เลือกปฏิบัติ สร้างความเป็นธรรมในสังคม ร้อยละ 58.8 ระบุอย่าลืมบุญคุณของประชาชนที่เลือกหรือสนับสนุนให้ได้เป็นใหญ่ และร้อยละ 43.4 ระบุอื่นๆ เช่น ให้สำนึกถึงผิด ชอบ ชั่วดี ให้เข้าถึงชาวบ้าน และไม่กร่าง เป็นต้น
ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า ทุกคนในชาติน่าจะตระหนักและเกิดความยึดโยงผูกพันกับสถาบันหลักของชาติที่เป็นลักษณะเด่นของความเป็นคนไทยที่มีมาช้านานเอาไว้เพราะเป็นศูนย์รวมจิตใจและพฤติกรรมของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ ที่จะทำให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นพลังแผ่นดินที่จะทำให้ประชาชนทุกคนมีความหวังที่จะช่วยกันนำพาประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆ ไปได้ เพราะประเทศไทยมี DNA ของความจงรักภักดีที่เป็นของคนไทยและทำให้สังคมไทยแตกต่างไปจากชาติอื่นใดทั่วโลก จึงอย่าให้ใครหรืออำนาจอื่นใดมาทำลายเอกลักษณ์เฉพาะความเป็นคนไทยนี้ไปได้ เนื่องจากแต่ละชาติจะมีหลักยึดโยงความเชื่อความศรัทธาของความเป็นปึกแผ่นที่แตกต่างกันไป ดังนั้น เราจึงร่วมใจมั่นทำกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์รักษาสถาบันอันสูงสุดของชาตินี้เอาไว้ตลอดไป
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่าตัวอย่างร้อยละ 57.1 เป็นหญิง ร้อยละ 42.9 เป็นชาย ตัวอย่างร้อยละ 6.6 อายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 27.3 อายุระหว่าง 20 — 29 ปี ร้อยละ 21.9 อายุระหว่าง 30 — 39 ปี ร้อยละ 20.8 อายุระหว่าง 40 — 49 ปี และ ร้อยละ23.4 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 74.6 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี รองลงมาคือร้อยละ 25.4 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 36.8 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 27.5 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 12.2 ระบุอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 9.6 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 7.3 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ ร้อยละ 3.6 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ในขณะที่ร้อยละ 3.0 ระบุว่างงาน/ไม่ประกอบอาชีพ
--เอแบคโพลล์--