หลังจากที่สภาได้ผ่าน พ.ร.บ. เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท เราจึงนำเสนอความคิดเห็นของประชาชนต่อประเด็นดังกล่าวนี้ทั้งในแง่ของข้อดีและข้อเสีย พบว่าเมื่อสอบถามถึงข้อดีกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 66.2 คิดว่าการกู้เงินครั้งนี้จะสามารถพัฒนาประเทศไปในทางที่ดีขึ้นได้ รองลงมาร้อยละ 14.0 คิดว่าระบบการคมนาคมของประเทศจะดีขึ้น ร้อยละ 7.4 คิดว่าเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น ร้อยละ 6.6 คิดว่าประชาชนจะมีความกินดีอยู่ดีมากยิ่งขึ้น ร้อยละ 3.5 คิดว่าจะมีการพัฒนาด้านสวัสดิการสังคมมากยิ่งขึ้น และอื่นๆ อาทิ การพัฒนาด้านการศึกษา การส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตย เป็นต้น
ส่วนข้อเสียพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.1 ระบุว่าเป็นการสร้างภาระหนี้สินให้กับประชาชน รองๆ ลงมา ร้อยละ 15.6 ระบุเป็นต้นตอของปัญหาทุจริต คอรัปชั่นให้รุนแรงขึ้น ร้อยละ 5.5 ระบุทำให้ประชาชนต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักการเมือง ร้อยละ 4.4 ระบุค่าครองชีพสูงขึ้น ร้อยละ 2.9 ระบุไม่คุ้มกับประโยชน์ที่จะได้รับ และอื่นๆ อาทิ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศแย่ลง เงินรั่วไหล อาจทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา เป็นต้น
เมื่อสอบถามเกี่ยวกับความวางใจต่อความโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณระหว่างรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคเพื่อไทย พบว่ากลุ่มตัวอย่างกว่าหนึ่งในสามหรือร้อยละ 38.0 วางใจต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 29.1 วางใจต่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 32.9 ไม่ทราบ/ไม่มีความเห็น
กลุ่มตัวอย่างเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 57.1 เห็นชัดเจนว่าเงินทุกบาทที่ใช้จ่ายในแต่ละวันเป็นการผ่อนชำระหนี้เงินกู้ที่รัฐบาลต่างๆ เคยกู้มาจากต่างชาติ ซึ่งเห็นได้จากค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น ราคาสินค้า บริการ น้ำมัน เชื้อเพลิง เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 42.9 ระบุไม่เห็นชัดเจน
ที่น่าสนใจคือกลุ่มตัวอย่างเกือบร้อยละร้อยหรือร้อยละ 90.0 อยากเห็นนักเศรษฐศาสตร์ นักการเงินออกมาวิเคราะห์ให้ทราบว่า ต้องจ่ายเงินที่รัฐบาลไปกู้จากต่างชาติมาเป็นเงินเท่าไหร่ต่อเดือน และร้อยละ 91.4 อยากทราบว่า เงินกู้ของรัฐบาลชุดใดที่กู้มาแล้วปัจจุบันเกิดผลลัพธ์ดีต่อประเทศคำนวณเป็นเม็ดเงินให้เห็นกันชัดๆ
เกินกว่ากึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างหรือร้อยละ 51.9 ระบุการทำหน้าที่ในการตรวจสอบของฝ่ายค้านนั้นเป็นไปเพื่อต้องการสกัดกั้นผลประโยชน์ ทางการเมืองมากกว่า ในขณะที่ร้อยละ 48.1 ระบุเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่า
ประเด็นที่น่าพิจารณาเมื่อเปรียบเทียบจุดดีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พบว่า จุดดีสามอันดับแรกของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือ อันดับหนึ่ง ได้แก่ เป็นคนซื่อตรง มือสะอาด เป็นคนดี ตรงไปตรงมา มีจุดยืนชัดเจน ร้อยละ 32.0 อันดับสอง ได้แก่ บริหารประเทศและแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดี ไม่ใช้ความรุนแรง ร้อยละ 14.3 และอันดับสาม ได้แก่ รักและเข้าถึงประชาชน ยิ้มแย้มแจ่มใส มีสัมมาคารวะ เป็นกันเอง ร้อยละ 12.9 ตามลำดับ
สำหรับจุดดีสามอันดับแรกของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พบว่า อันดับแรก ได้แก่ บริหารงานได้ดี ทำงานเก่ง วางตัวดี มีความรับผิดชอบ มีความเป็นผู้นำ เป็นแบบอย่างที่ดี ร้อยละ 34.3 อันดับสอง ได้แก่ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ยิ้มแย้ม แจ่มใส มีสัมพันธไมตรีกับต่างชาติที่ดี ร้อยละ 22.6 และอันดับสาม ได้แก่ ขยัน ตั้งใจทำงาน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ร้อยละ 17.2 ตามลำดับ
ที่น่าสนใจคือเมื่อสอบถามถึงสิ่งที่อยากเห็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปรากฏตัวต่อสาธารณะในการทำกิจกรรมร่วมกัน พบว่า อันดับแรก ได้แก่ ลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกัน ร้อยละ 80.8 อันดับสอง ได้แก่ ลงพื้นที่ภัยพิบัติเดือดร้อนของประชาชนร่วมกัน ร้อยละ 75.9 อันดับสาม ได้แก่ ขึ้นเวทีแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นร่วมกัน ร้อยละ 75.0 อันดับสี่ ได้แก่ ทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ร่วมกัน ร้อยละ 71.8 อันดับห้า ได้แก่ ช่วยเหลือดูแล เด็ก ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ตามบ้านสงเคราะห์ต่างๆ ร้อยละ 71.2 และอื่นๆ อาทิ พบปะกันในบรรยากาศที่เป็นกันเอง ทำกิจกรรมทางศาสนาเข้าวัดทำบุญร่วมกัน ตามลำดับ
ในการนี้รัฐบาลจึงต้องมีนโยบายชัดเจนในการแบ่งเบาภาระของประชาชน รวมทั้งต้องหาวิธีการต่างๆ ในการนำเงินที่กู้มานี้ให้เกิดดอกออกผลขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น ในการเปิดประชาคมอาเซียนที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้ รัฐบาลควรมีการพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการ รวมทั้งพัฒนาระบบให้เป็นมาตราฐานสากล รวมทั้งการคิดค่าสินค้าและบริการต่างๆ ควรมีการปรับราคาให้มีระดับที่ต่างๆ กันระหว่างชาวไทยและชาวต่างชาติ กล่าวคือ คิดราคาคนไทยในราคาปกติ แต่คิดราคาชาวต่างชาติในอัตราที่สูงกว่า เพื่อเป็นการเรียกเม็ดเงินจากชาวต่างชาติกลับคืนมาและเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนชาวไทย
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 47.4 เป็นชาย ร้อยละ 52.6 เป็นหญิง ตัวอย่างร้อยละ 4.7 อายุน้อยกว่า 20 ปี ร้อยละ 20.9 อายุระหว่าง 20—29 ปี ร้อยละ 20.3 อายุระหว่าง 30—39 ปี ร้อยละ 19.2 อายุระหว่าง 40—49 ปี และ ร้อยละ 34.9 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 73.2 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 22.8 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ในขณะที่ร้อยละ 4.0 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ตัวอย่างร้อยละ 33.5 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 31.5 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 8.7 ระบุเป็นพนักงานเอกชน ร้อยละ 8.6 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 7.4 ระบุเป็นนักเรียนนักศึกษา ร้อยละ 7.1 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ และร้อยละ 3.2 ว่างงาน/ไม่ได้ประกอบอาชีพ
ปรากฏตัวต่อสาธารณะในการทำกิจกรรมร่วมกัน (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ความคิดเห็น ค่าร้อยละ 1 ลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกัน 80.8 2 ลงพื้นที่ภัยพิบัติเดือดร้อนของประชาชนร่วมกัน 75.9 3 ขึ้นเวทีแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นร่วมกัน 75.0 4 ทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ร่วมกัน 71.8 5 ช่วยเหลือดูแล เด็ก ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ตามบ้านสงเคราะห์ต่างๆ 71.2 6 พบปะกันในบรรยากาศที่เป็นกันเอง 70.3 7 ทำกิจกรรมทางศาสนาเข้าวัดทำบุญร่วมกัน 69.2--เอแบคโพลล์--