ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน (ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน) (Academic Network for Community Happiness Observation and Research, ANCHOR) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง ศึกษาปัจจัยที่มี ผลต่อความสุขของคนภายในครอบครัว ท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองของสังคมไทย กรณีศึกษาประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งใน เขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล จำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 2,855 ราย ดำเนินโครงการ ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม — 3 พฤศจิกายน 2551 ผลสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ที่ถูกศึกษาหรือประมาณร้อยละ 90 ติดตามข่าวสารผ่านสื่อมวลชนเป็นประจำทุกสัปดาห์
เมื่อถามถึงระดับความสุขต่อบรรยากาศภายในครอบครัวท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองของสังคมไทย ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 72.5 ยังคงมีความสุขต่อบรรยากาศของคนภายในครอบครัวระดับมาก ถึงมากที่สุด ในขณะที่ร้อยละ 13.8 มีความสุขระดับ ปานกลาง และเพียงร้อยละ 13.7 มีความสุขระดับน้อยถึงไม่มีความสุขเลย และเมื่อพิจารณาค่าความสุขของประชาชนต่อบรรยากาศภายในครอบครัว พบว่ามีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ 6.92 จากคะแนนเต็ม 10 ซึ่งแปลความได้ว่า ประชาชนที่ถูกศึกษาในการวิจัยครั้งนี้ยังคงมีความสุขค่อนข้างมากต่อบรรยากาศ ของคนภายในครอบครัว ท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองของสังคมไทยเวลานี้
เมื่อจำแนกออกตาม เพศ พบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้หญิงมีสัดส่วนของผู้ที่มีความสุขต่อบรรยากาศภายในครอบครัวระดับมาก ถึง มากที่สุด อยู่ ร้อยละ 75.0 ซึ่งมากกว่ากลุ่มตัวอย่างผู้ชายที่มีอยู่ร้อยละ 69.5 และเมื่อจำแนกออกตามช่วงอายุ พบว่า คนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีมีความสุขต่อ บรรยากาศภายในครอบครัวอยู่ร้อยละ 67.0 ซึ่งมีสัดส่วนต่ำกว่า คนในทุกกลุ่มช่วงอายุที่สูงกว่า โดยเห็นได้ชัดเจนว่า คนที่อายุ 50 ปีขึ้นไปและมีความ สุขต่อบรรยากาศภายในครอบครัวมีสูงถึงร้อยละ 74.2 เลยทีเดียว
ที่น่าสนใจคือ เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษา พบว่า คนที่มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีและมีความสุขต่อบรรยากาศภายในครอบครัวของตน สูงถึงร้อยละ 86.4 ซึ่งสูงกว่ากลุ่มคนที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีอยู่ร้อยละ 78.2 และผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีมีอยู่ร้อยละ 70.0 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อจำแนกกลุ่มตัวอย่างออกตามพรรคการเมืองที่เคยเลือกในการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ผ่านมา พบว่า คนที่ เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์มีสัดส่วนของผู้ที่มีความสุขต่อบรรยากาศภายในครอบครัวสูงสุด คือร้อยละ 76.1 รองลงมาคือ คนเคยเลือกพรรคพลัง ประชาชนมีอยู่ร้อยละ 71.1 และคนเคยเลือกพรรคอื่นๆ มีอยู่ร้อยละ 70.0 ตามลำดับ
ที่น่าเป็นห่วงคือ ขณะนี้ ประชาชนที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.0 พบเห็นการที่คนไทยในสังคมไทยกำลังใช้ความรุนแรงในการแก้ ปัญหา และมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 7.59 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งหมายความว่ามีการใช้ความรุนแรงระดับมาก อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบว่า มี ตัวอย่างร้อยละ 36.2 ที่พบเห็นคนในชุมชนมีการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา และค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.54 และที่น่าสนใจคือ ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อย ละ 75.9 พบเห็นสมาชิกในครอบครัวใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาระดับน้อยถึงไม่มีเลย แต่มีอยู่ร้อยละ 13.3 ที่ใช้ความรุนแรงระดับมาก ถึง มากที่ สุดภายในครอบครัวของตนเอง และค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.44 เท่านั้น
ประเด็นสำคัญคือ ผลการวิเคราะห์ด้วยสถิติวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ ต่อความสุขของประชาชนต่อบรรยากาศภายในครอบครัว พบว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ สุขภาพใจ (.302) นั่นคือ ถ้าคนในครอบครัวมีสุขภาพใจดี ปลอดจากสภาวะกดดัน ตึงเครียด ไม่กังวล คือมีสุขภาพจิตดีมาก เพียงไรจะทำให้มีความสุขต่อบรรยากาศภายในครอบครัวมากขึ้นตามไปด้วย รองลงมาคือ สุขภาพกาย (.163) แต่ปัจจัยสำคัญอันดับที่สาม คือ การใช้ ความรุนแรงภายในครอบครัว (-.160) ซึ่งผลวิจัยพบว่า ยิ่งคนพบเห็นการใช้ความรุนแรงภายในครอบครัว ด้วยวาจาและกาย การกระทำต่างๆ จะยิ่ง ทำให้ความสุขภายในครอบครัวลดลง
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญประการที่สี่และรองๆ ลงไป คือ การเห็นคนไทยแสดงความจงรักภักดี (.155) บรรยากาศความสัมพันธ์ของคนใน ชุมชน (.147) การศึกษา (.156) และความพอใจในหน้าที่การงาน ( .065) ซึ่งปัจจัยสำคัญเหล่านี้ยิ่งมีมากเพียงไรจะทำให้ประชาชนคนไทยมีความ สุขต่อบรรยากาศภายในครอบครัวสูงขึ้นตามไปด้วย โดยปัจจัยเหล่านี้มีความสัมพันธ์ต่อความสุขของประชาชนต่อบรรยากาศภายในครอบครัวสูงถึง .598 มีความหมายว่า มีความสัมพันธ์ค่อนข้างมาก และถ้านำปัจจัยเหล่านี้รวมกันทั้งหมดสามารถอธิบายความสุขต่อบรรยากาศภายในครอบครัวได้ร้อยละ 35.5
รายละเอียดงานวิจัย
1. เพื่อสำรวจระดับความสุขของประชาชนภายในครอบครัว
2. เพื่อค้นหาปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อระดับความสุขของประชาชนภายในครอบครัว
3. เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาในเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งต่อไป
โครงการสำรวจภาคสนามของศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน(Academic Network for Community Happiness Observation and Research, ANCHOR (แองเคอร์) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ในครั้งนี้เรื่อง ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสุขของคนภาย ในครอบครัว ท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองของสังคมไทย กรณีศึกษาประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัด ปริมณฑล จำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 2,855 ราย ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม — 3 พฤศจิกายน 2551 ประเภทของการสำรวจวิจัยครั้งนี้ คือ การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) กลุ่มประชากรเป้าหมาย คือ ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เทคนิค วิธีการสุ่มตัวอย่าง ได้แก่ การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น และกำหนดลักษณะของตัวอย่างให้สอดคล้องกับประชากรเป้าหมายจากการทำ สำมะโน ช่วงความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ ร้อยละ 95 ขณะที่ขอบเขตความคลาดเคลื่อนจากการกำหนดขนาดตัวอย่างอยู่ที่ +/- ร้อยละ 5 เครื่องมือที่ใช้ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ การสัมภาษณ์ หลังจากนั้นคณะผู้วิจัยได้ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของแบบ สอบถามทุกชุดก่อนนำเข้าวิเคราะห์ข้อมูลและงบประมาณเป็นของมหาวิทยาลัย โดยมีคณะผู้ดำเนินโครงการวิจัยทั้งสิ้น 119 คน
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 54.8 เป็นหญิง
ร้อยละ 45.2 เป็นชาย
ตัวอย่าง ร้อยละ 9.7 อายุต่ำกว่า 20 ปี
ร้อยละ 30.6 อายุระหว่าง 20 — 29 ปี
ร้อยละ 26.0 อายุระหว่าง 30 — 39 ปี
ร้อยละ 20.7 อายุระหว่าง 40 — 49 ปี
และ ร้อยละ 13.0 อายุ 50 ปีขึ้นไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 71.1 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี
รองลงมาคือร้อยละ 26.8 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
และร้อยละ 2.1 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ตัวอย่าง ร้อยละ 3.6 อาชีพข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 15.0 เป็นพนักงานเอกชน/ลูกจ้างเอกชน
ร้อยละ 34.6 มีธุรกิจส่วนตัว/อาชีพอิสระ/ค้าขาย
ร้อยละ 7.8 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
ร้อยละ 20.7 รับจ้างทั่วไป/รับจ้างใช้แรงงาน
ร้อยละ 10.8 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ
ร้อยละ 7.5 ว่างงาน/ไม่มีรายได้/ไม่ประกอบอาชีพ/ตกงาน
โปรดพิจารณาประเด็นสำคัญที่ค้นพบในตารางต่อไปนี้
ค่า R = .598 ; ค่า Adjusted R Square = .355
--เอแบคโพลล์--