ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิง สำรวจ สัญญาณเตือนภัยทางเศรษฐกิจ กรณีศึกษาสภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดหัวเมืองใหญ่ของประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ ชลบุรี อุบลราชธานี และ นครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 3,147 ตัวอย่างซึ่งดำเนินโครงการระหว่าง วันที่ 7 ตุลาคม — 18 พฤศจิกายน 2551 พบว่า ส่วนใหญ่หรือประมาณร้อยละ 90 กำลังติดตามข่าวเศรษฐกิจผ่านสื่อมวลชนเป็นประจำทุกสัปดาห์
เมื่อสอบถามแนวโน้มของรายได้และรายจ่ายของครอบครัวในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาก่อนการสำรวจ พบว่า เกินกว่าครึ่งเล็กน้อยหรือร้อย ละ 51.8 ระบุรายได้ของครอบครัวลดลง ในขณะที่ร้อยละ 41.7 ระบุเท่าเดิม และเพียงร้อยละ 6.5 เท่านั้นที่บอกว่ารายได้ของครอบครัวเพิ่มขึ้น ที่ น่าเป็นห่วงคือ หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.6 ระบุรายจ่ายของครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 26.2 ระบุเท่าเดิม และร้อยละ 12.2 ระบุรายจ่ายลดลง
ที่ต้องพิจารณาคือ ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.8 มองว่า แนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แย่ ลง ในขณะที่ร้อยละ 23.2 มองว่าทรงตัว และเพียงร้อยละ 2.0 เท่านั้นที่มองว่าสภาวะเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น
เมื่อถามถึงสภาวะเศรษฐกิจแนวโน้มของรายได้ครอบครัวในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 33.6 ระบุเท่าเดิม ร้อยละ 25.1 ระบุลดลง และร้อยละ 28.7 ยังไม่แน่ใจ มีเพียงร้อยละ 12.6 ที่เชื่อว่า รายได้ของครอบครัวจะเพิ่มขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงแนวโน้มความรู้สึกมั่นคงในหน้าที่การงาน ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 41.2 ยังรู้สึกมั่นคงเหมือนเดิม และร้อยละ 9.7 รู้สึกมั่นคงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประมาณ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 32.8 ไม่แน่ใจ และร้อยละ 16.3 รู้สึกความมั่นคงในหน้าที่การงานลดน้อยลง
เมื่อถามถึงความเพียงพอของเงินเพื่อใช้จ่ายสำหรับตัวเองและครอบครัวในอีก 6 เดือนข้างหน้า พบว่า หัวหน้าครัวเรือนจำนวนมากหรือ ร้อยละ 41.3 ระบุว่าไม่พอใช้จ่าย และยิ่งไปกว่านั้น เกินกว่า 1 ใน 4 หรือร้อยละ 27.1 ยังไม่ได้คิดถึงอนาคตของการใช้จ่ายทางการเงิน ในขณะ ที่ ร้อยละ 31.6 คิดว่าเพียงพอต่อค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงพฤติกรรมการเก็บออมของหัวหน้าครัวเรือนพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 60.5 ระบุไม่มีการเก็บออม ในขณะที่ ร้อยละ 39.5 มีการเก็บออม และเมื่อถามในกลุ่มที่มีการเก็บออม พบว่า ร้อยละ 57.7 เก็บออมในรูปแบบของการฝากเงินไว้กับธนาคารโดยเฉลี่ยใน กลุ่มนี้เท่ากับกว่าหนึ่งแสนบาทหรือเท่ากับ 137,438.67 บาท รองลงมาคือร้อยละ 28.4 เก็บออมในรูปแบบของการซื้อประกันชีวิต อันดับที่สามหรือร้อย ละ 17.8 เก็บเงินสดไว้ที่บ้านโดยเฉลี่ยประมาณสามหมื่นบาท หรือเท่ากับ 31,102.55 บาท และร้อยละ 15.8 เก็บออมโดยการซื้อทอง และร้อยละ 10.6 เก็บออมในรูปของฝากกับหน่วยงานหรือบริษัทที่ทำงานอยู่ เช่น สหกรณ์ เป็นต้น
ที่น่าเป็นห่วงคือ หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.1 มีหนี้สิน ในขณะที่ร้อยละ 23.9 ไม่มีหนี้สิน และที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ค่า เฉลี่ยของหนี้สิน เปรียบเทียบกับรายได้ของครอบครัวพบว่า มีค่าเฉลี่ยของหนี้สินสูงกว่ารายได้ของครอบครัวในทุกระดับรายได้ ซึ่งพบว่า ในครัวเรือนที่มี รายได้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือนแต่มีหนี้สินสูงถึงเกือบสองแสนบาท หรือเท่ากับ หนี้สินเฉลี่ย 172,195.84 บาท ในครัวเรือนที่มีรายได้ 10,001 — 30,000 บาทต่อเดือน มีหนี้สินเฉลี่ย 289,533.62 บาท ในครัวเรือนที่มีรายได้ระหว่าง 30,001 — 50,000 บาท มีหนี้สินเฉลี่ย 493,864.47 บาท ในครัวเรือนที่มีรายได้ มากกว่า 50,000 บาทต่อเดือนขึ้นไปมีหนี้สินเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 2.5 ล้านบาทต่อครัวเรือน หรือ 2,559,434.00 บาท
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบว่า ค่าเฉลี่ยความพอใจของหัวหน้าครัวเรือนต่อนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาลอยู่ที่ 5.28 จาก คะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งถือว่าสอบผ่านเกินครึ่งมาเล็กน้อยในมุมมองของหัวหน้าครัวเรือนจากการวิจัยครั้งนี้
ดร.นพดล กล่าวว่า ผลวิจัยครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยสภาวะเศรษฐกิจเนื่องจาก สิ่งที่ค้นพบสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนคนไทยโดย เฉพาะหัวหน้าครัวเรือนในพื้นที่ที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่ไม่มีการเก็บออม และส่วนใหญ่มีหนี้สินล้นพ้นตัวเกินกว่าระดับรายได้ของครอบครัวที่มีอยู่ นโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือนอาจเป็นเพียงความช่วยเหลือระยะสั้นเท่านั้น น่าเสียดายตรงที่ รัฐบาลน่าจะชูธงรณรงค์เรื่องหลักการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงควบคู่ไป ด้วย เพื่อให้ประชาชนปรับตัวปรับฐานของสภาวะเศรษฐกิจให้สอดคล้องและรองรับวิกฤตการณ์ต่างๆ ของสังคมที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้และอนาคตอันใกล้
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ประชาชนคนไทยได้รอคอยมายาวนานที่จะได้รัฐบาลที่ดี เป็นรัฐบาลที่สามารถลดสภาวะเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงทาง การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แต่พวกเราก็ยังคงได้รัฐบาลแบบเดิมๆ มีแต่ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ขาดหลักธรรมาภิบาล และจิตสำนึกทางการเมืองไม่ เพียงพอ วงจรแห่งความเลวร้ายต่อประเทศชาติและประชาชนจึงยังคงเกิดขึ้นซ้ำซาก ดังนั้นจึงอยากให้สังคมลองนึกถึงรูปแบบการเมืองใหม่ เป็น “การเมืองภาคประชาชนที่เข้มแข็ง” เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันเสถียรภาพของสังคมไทย และรัฐบาลเป็น “รัฐบาลแบบสามัญชน” มากกว่าที่จะเป็นรัฐบาล ขนาดใหญ่ด้วยการแบ่งสรรโควต้าตำแหน่งทางการเมืองเช่นปัจจุบัน แต่ประเทศไทยน่าจะมีรัฐบาลแบบที่มีขนาดเล็กไม่ใหญ่โต เทอะทะ ยึดหลักธรรมาภิ บาล ต้นทุนต่ำ แต่ทำงานได้ดี รวดเร็วฉับไวในการแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชน ปรับปรุงคุณภาพของประชาชนด้วยการศึกษาทั้งในและนอกระบบ ลด ปัญหาอาชญากรรมได้ ปกป้องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปฏิรูปความเป็นธรรมในสังคม และหนุนเสริมให้ประชาชนมีโอกาสมากขึ้นที่จะทำให้พวกเขา ประสบความสำเร็จสู่เป้าหมายของชีวิตแต่ละคน และกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจทุกระดับชั้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมควรได้รับคำแนะนำ ปรึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
รายละเอียดงานวิจัย
1. เพื่อสำรวจสภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนของประชาชนหัวหน้าครัวเรือนในกรุงเทพมหานครและจังหวัดหัวเมืองใหญ่
2. เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาในเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งต่อไป
โครงการสำรวจภาคสนามของศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ในครั้งนี้ เรื่อง สัญญาณ เตือนภัยทางเศรษฐกิจ กรณีศึกษาสภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานคร และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ของประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ ชลบุรี อุบลราชธานี และ นครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 3,147 ตัวอย่างซึ่งดำเนินโครงการระหว่าง วันที่ 7 ตุลาคม — 18 พฤศจิกายน 2551 การสุ่ม ตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น และกำหนดลักษณะของตัวอย่างให้สอดคล้องกับประชากรเป้าหมายจากการทำสำมะโน ช่วงความเชื่อมั่นอยู่ใน ระดับร้อยละ 95 ขณะที่ขอบเขตความคลาดเคลื่อนจากการกำหนดขนาดตัวอย่างอยู่ที่ +/- ร้อยละ 5 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบ สอบถาม วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ การสัมภาษณ์ หลังจากนั้นคณะผู้วิจัยได้ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของแบบสอบถามทุกชุดก่อนนำเข้าวิเคราะห์ ข้อมูลและงบประมาณเป็นของมหาวิทยาลัย โดยมีคณะผู้วิจัย จำนวนทั้งสิ้น 139 คน
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 61.3 เป็นหญิง
ร้อยละ 38.7 เป็นชาย
ตัวอย่าง ร้อยละ 21.9 อายุต่ำกว่า 29 ปี
ร้อยละ 29.7 อายุระหว่าง 30 — 39 ปี
ร้อยละ 26.8 อายุระหว่าง 40 — 49 ปี
ร้อยละ 21.6 อายุ 50 ปีขึ้นไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 73.8 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี
รองลงมาคือร้อยละ 24.6 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
และร้อยละ 1.6 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ตัวอย่าง ร้อยละ 41.6 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว
ร้อยละ 28.9 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างใช้แรงงานทั่วไป
ร้อยละ 13.2 ระบุอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน
ร้อยละ 7.3 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 9.0 ไม่ได้ประกอบอาชีพ
โปรดพิจารณาประเด็นสำคัญที่ค้นพบในตารางต่อไปนี้