สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจ “เอแบคเรียลไทม์โพลล์ (Real-Time Survey)” ที่เป็นการสำรวจจากครัวเรือนที่สุ่มตัวอย่างได้ทั่วประเทศตามหลักสถิติแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น และได้ติดตั้งโทรศัพท์ให้กับครัวเรือนที่เป็นตัวอย่างเพื่อทำการสัมภาษณ์ได้อย่างรวดเร็วฉับไวภายในระยะเวลาประมาณ 10 ชั่วโมง จากนั้นประมวลผลด้วยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบเรียลไทม์ โดยครั้งนี้ได้ทำการสำรวจเรื่อง ความคิดเห็นต่อการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา: กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ปทุมธานี เพชรบุรี เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ ขอนแก่น ศรีสะเกษ สกลนคร หนองบัวลำภู พัทลุง ระนอง และ สุราษฎร์ธานี จำนวนทั้งสิ้น 1,647 ครัวเรือน ดำเนินการสำรวจในวันที่ 8 เมษายน 2553 ประเด็นสำคัญที่พบมีดังนี้
ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ตัวอย่างสูงถึงร้อยละ 71.3 ติดตามข่าวสารเป็นประจำทุกวัน/เกือบทุกวัน โดยมีเพียงร้อยละ 8.8 ที่ติดตามเป็นบางสัปดาห์ และร้อยละ 5.0 ที่ไม่ได้ติดตามเลย ซึ่งแสดงถึงความตื่นตัวของประชาชนต่อสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน เมื่อสอบถามมุมมองต่อการชุมนุมทางการเมืองโดยทั่วไป พบว่าตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.8 เห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ขณะที่ร้อยละ 25.8 เห็นว่าไม่ใช่ และร้อยละ 12.4 ไม่แน่ใจ
เมื่อให้ตัวอย่างพิจารณาถึงผลดีของการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า 3 อันดับแรกได้แก่ ทำให้ประชาชนมีความสนใจต่อการเมืองมากขึ้น (ร้อยละ 63.0) ทำให้นักการเมืองรับฟังเสียงของประชาชนมากขึ้น (ร้อยละ 59.4) และทำให้การบริหารบ้านเมืองมีความโปร่งใสมากขึ้น (ร้อยละ 58.8) ตามลำดับ ในทางกลับกันเมื่อพิจารณาถึงผลเสียที่เกิดขึ้น พบว่า 3 อันดับแรกได้แก่ กระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ (ร้อยละ 90.0) เกิดความขัดแย้งทางสังคม (ร้อยละ 89.9) และเสียภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติ (ร้อยละ 85.2) ตามลำดับ
สำหรับการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อสาเหตุสำคัญที่ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาชุมนุม พบว่าตัวอย่างเกินกว่าครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 53.5 เห็นว่าเป็นเกมแย่งชิงอำนาจทางการเมือง รองลงมาร้อยละ 16.7 เห็นว่าเพราะมีความไม่เป็นธรรมทางสังคม เกิดสองมาตรฐาน และร้อยละ 15.0 เห็นว่าเพราะไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล นอกจากนี้ยังพบบางส่วนที่ระบุเพราะคิดว่ารัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตย คนจนถูกเอารัดเอาเปรียบ ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีผลประโยชน์ส่วนตัว และยึดติดตัวบุคคล เป็นต้น
การสำรวจครั้งนี้ยังพบประเด็นที่น่าสนใจคือ ตัวอย่างร้อยละ 41.2 อยากให้การชุมนุมทางการเมืองในครั้งนี้ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาความแตกแยกของคนในชาติ รองลงมาร้อยละ 16.0 อยากให้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่น และร้อยละ 15.2 อยากให้นำไปสู่การแก้ไขความไม่เป็นธรรมในสังคม อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 60.0 เห็นว่าประชาชนจะได้ประโยชน์น้อยจนถึงไม่ได้อะไรเลยจากการชุมนุมทางการเมืองในครั้งนี้ ขณะที่ร้อยละ 20.9 เห็นว่าจะได้ประโยชน์บ้างปานกลาง และร้อยละ 19.1 เห็นว่าจะได้ประโยชน์มากถึงมากที่สุด
ผ.อ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า จากการวิจัยทั้งในอดีตและครั้งล่าสุดนี้ชี้ให้เห็นว่า การชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านบรรดาแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมมักจะประสบความสำเร็จในการนำประชาชนออกมาได้จำนวนมาก แต่มักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จที่จะบรรลุเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ หรือเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายสาธารณะแก้ปัญหาสำคัญของประชาชนได้ จะเห็นได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่มองเห็นผลเสียของการชุมนุมมีจำนวนมากกว่ากลุ่มที่มองเห็นผลดีที่ประชาชนส่วนใหญ่จะได้รับ การแสดงออกทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยด้วยการชุมนุมในอนาคตจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและเสียงสะท้อนความรู้สึกของประชาชน เช่น จะต้องเคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์ที่จะนำไปสู่การลดความแตกแยกของคนในชาติ นำไปสู่ความเป็นธรรมในสังคม นำไปสู่การแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน แต่ผลสำรวจล่าสุด ประชาชนเกินครึ่งมองว่าการเคลื่อนไหวชุมนุมเป็นเพียงเกมแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ดังนั้น สาธารณชนส่วนใหญ่ของประเทศจึงไม่ให้การสนับสนุนการชุมนุมที่นำไปสู่ความวุ่นวายและไม่ทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อความดีส่วนรวมของประชาชนทั้งประเทศ
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 54.3 เป็นหญิง
ร้อยละ 45.7 เป็นชาย
ตัวอย่าง ร้อยละ 9.9อายุต่ำกว่า 20 ปี
ร้อยละ 11.1อายุระหว่าง 20 — 29 ปี
ร้อยละ 16.4 อายุระหว่าง 30 — 39 ปี
ร้อยละ 21.2 อายุระหว่าง 40 — 49 ปี
และร้อยละ 41.4 อายุ 50 ปีขึ้นไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 65.3 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี
รองลงมาคือร้อยละ 30.2 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
และร้อยละ 4.5 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ตัวอย่าง ร้อยละ 31.3 ระบุอาชีพค้าขายรายย่อย/อิสระ
ร้อยละ 20.8 ระบุเป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ
ร้อยละ 14.2 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป
ร้อยละ 11.4 ระบุเป็นนักเรียน/นักศึกษา
ร้อยละ 10.8 ระบุอาชีพข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 7.2ระบุอาชีพลูกจ้าง/พนักงานบริษัท
และร้อยละ 4.3 ระบุว่างงาน/ไม่ประกอบอาชีพ
โปรดพิจารณาประเด็นสำคัญที่ค้นพบในตารางต่อไปนี้