ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น และฐานสนับสนุนทางการเมือง กรณีศึกษาผู้มีสิทธิเลือกตั้งและกลุ่มนิวเจนที่จะมีสิทธิในอีก 3 ปีข้างหน้าใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหา นคร ปทุมธานี ชลบุรี นครราชสีมา อุดรธานี กาฬสินธุ์ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต และสงขลา จำนวนทั้ง สิ้น 2,250 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างเดือนกรกฎาคม — สิงหาคม 2553 ผลการสำรวจพบว่า
ประชาชนที่ถูกศึกษาร้อยละ 42.0 คิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ ร้อยละ 38.8 ระบุไม่แน่ใจและมีเพียงร้อย ละ 19.2 ที่ไม่คิดเช่นนั้น เมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อการทุจริตคอรัปชั่นในการทำธุรกิจจำแนกตามอาชีพ พบว่า พนักงานบริษัท ร้อยละ 51.4 คิดว่า การทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ข้าราชการ ร้อยละ 26.6 ไม่คิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดา
พิจารณาจุดยืนทางการเมืองของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ร้อยละ 21.2 ระบุจุดยืนทางการเมืองของตนคือสนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบัน ในขณะที่ ร้อยละ 17.0 ระบุไม่สนับสนุน อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างส่วนใหญ่คือร้อยละ 61.8 ไม่อยู่ฝ่ายใด (พลังเงียบ)
เมื่อจำแนกจุดยืนทางการเมืองของตนเองในสถานการณ์การเมืองปัจจุบันตามระดับการศึกษา พบว่า คนที่สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญา ตรี ร้อยละ 41.7 ระบุสนับสนุนรัฐบาล ปริญญาตรี ร้อยละ 30.9 ในขณะที่คนที่สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีมีเพียงร้อยละ 19.5 เท่านั้นที่ระบุสนับ สนุนรัฐบาล
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อจำแนกจุดยืนทางการเมืองของตนเองในสถานการณ์การเมืองปัจจุบันตามที่พักอาศัย พบว่า คนที่พักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหา นคร มีเพียงร้อยละ 13.0 เท่านั้นที่ระบุสนับสนุนรัฐบาล นอกเขตเทศบาล ร้อยละ 17.0 และในขณะคนที่พักอาศัยอยู่ในเขตเทศบาล ร้อยละ 28.6 ระบุสนับสนุนรัฐบาล
เมื่อสอบถามถึงพรรคการเมืองที่ตั้งใจจะเลือก ส.ส.แบบสัดสัดส่วนถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง จำแนกตามช่วงอายุ พบว่า กลุ่มเยาวชนอายุไม่ เกิน 24 ปี และอายุ 25 ปีขึ้นไปตั้งใจจะเลือกพรรคเพื่อไทย คิดเป็นร้อยละ 45.1 และร้อยละ 47.5 ตามลำดับ และเยาวชนอายุไม่เกิน 24 ปี และ อายุ 25 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 42.7 และร้อยละ 40.6 ตั้งใจจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์
ผ.อ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า ผลวิจัยชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ทัศนคติยอมรับการทุจริตคอรัปชั่นยังเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงเหมือนเดิมในทุกสาขา อาชีพ และเห็นได้ชัดเจนเช่นกันว่าการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในฐานสนับสนุนทางการเมือง คนในเขตเทศบาลยัง คงเป็นฐานสำคัญของรัฐบาลส่วนคนที่อยู่นอกเขตเทศบาลก็ยังให้การสนับสนุนที่ก้ำกึ่งกันทั้งฝ่ายสนับสนุนและไม่สนับสนุนรัฐบาล ซึ่งถ้าเลือกตั้งกันในช่วงนี้ ผลการเลือกตั้งไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตเท่าใดนัก คือมีพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคและตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ใครได้เป็นรัฐบาลหรือไม่อยู่ที่ พรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก นั่นหมายความว่า ถ้าฝ่ายการเมืองไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นยังคงเหมือนเดิม ภาคประชาสังคมที่ หมายถึง ภาคประชาชน ข้าราชการ นักการเมืองและภาคธุรกิจอ่อนแอ ผลที่ตามมาคือ ประเทศไทยก็จะ “วน” อยู่ที่เดิมหรือจะเปลี่ยนแปลงน้อยมาก โดยสมมติฐานนี้ฝ่ายการเมืองอาจจะออกมาบอกว่า ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นต้องใช้ “เวลา” นั่นหมายความว่า “เวลา” กำลังตกเป็น “แพะรับบาป” แต่ ความทุกข์ยากเดือดร้อนจะตกอยู่กับ “ประชาชน” ส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนั้น ทางออกคือ รัฐบาลต้องวางกำลังคนที่ดีและกล้าทำเอาจริงเอาจังและมี เครือข่ายที่เข้มแข็งกับภาคประชาสังคมทำงานนำ “ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น” มาเป็นวาระแห่งชาติและประกาศสงครามเต็มรูปแบบกับการทุจริตคอรัปชั่น อย่างต่อเนื่องในทุกรัฐบาล
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ร้อยละ 53.6 เป็นเพศหญิง
ร้อยละ 46.4 เป็นเพศชาย
ตัวอย่าง ร้อยละ 15.6 อายุระหว่าง 15-24 ปี
ร้อยละ 29.1 อายุระหว่าง 25-35 ปี
ร้อยละ 24.4 อายุระหว่าง 36-45 ปี
และร้อยละ 30.9 ระบุอายุ 46-60 ปี
ตัวอย่าง ร้อยละ 86.1 ระบุสำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี
ร้อยละ 13.4 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
และร้อยละ 0.5 ระบุสำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ตัวอย่าง ร้อยละ 4.6 ระบุอาชีพข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 10.5 ระบุอาชีพพนักงาน/ลูกจ้างเอกชน
ร้อยละ 38.5 ระบุพ่อค้า/นักธุรกิจ
ร้อยละ 6.8 ระบุเป็นนักเรียนนักศึกษา
ร้อยละ 29.3 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป
ร้อยละ 7.5 ระบุเป็น แม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ
ร้อยละ 2.8 ระบุว่างงาน/ไม่ได้ประกอบอาชีพ
ตัวอย่าง ร้อยละ 82.3 ระบุมีรายได้ส่วนตัวไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน
ในขณะที่ร้อยละ 17.7 ระบุมีรายได้ส่วนตัวมากกว่า 15,000 บาทต่อเดือน