นักเศรษฐศาสตร์ 47.8% เห็นด้วยกับการออก พ.ร.บ. กู้เงินฯ แต่ 79.1% กังวลความไม่พร้อมของโครงการต่างๆ 68.6% กังวลปัญหาหนี้สาธารณะ แนะต้องดำเนินโครงการต่างๆ ด้วยความโปร่งใสไม่มีคอร์รัปชั่น
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 30 แห่ง จำนวน 67 คน เรื่อง “พ.ร.บ. กู้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท จำเป็นหรือไม่” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 5—12 ต.ค. ที่ผ่านมา พบว่า
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 58.2 เห็นว่าปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีความจำเป็นมากที่จะต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รองลงมาร้อยละ 35.8 เห็นว่าค่อนข้างมีความจำเป็น และมีเพียงร้อยละ 6.0 เท่านั้นที่เห็นว่าไม่มีความจำเป็นเลย เมื่อถามต่อว่างบลงทุนที่รัฐบาลใช้ในปัจจุบันมีเพียงพอกับความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือไม่ ร้อยละ 46.3 เห็นว่ามีไม่เพียงพอ ขณะที่ร้อยละ 35.8 เห็นว่ามีเพียงพอแล้ว แต่เมื่อถามว่าโครงการของหน่วยงานต่างๆ ที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมีความพร้อมเพียงใดกับการขอใช้เงินที่ออกโดย พ.ร.บ. กู้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานฯ นักเศรษฐศาสตร์มากถึงร้อยละ 79.1 เห็นว่าโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการยังไม่มีความพร้อมเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงร้อยละ 10.4 เท่านั้นที่เห็นว่าโครงการต่างๆ มีความพร้อมเป็นส่วนใหญ่
สำหรับความรู้สึกกังวลในปัญหาหนี้สาธารณะที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการออก พ.ร.บ. ฉบับนี้ ร้อยละ 68.6 บอกว่า “กังวลมากถึงมากที่สุด” รองลงมาร้อยละ 28.4 บอกว่า “กังวลน้อยถึงน้อยที่สุด” และเมื่อทำการเปรียบเทียบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการโดยใช้เงินจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้กับความจำเป็นในการออก พ.ร.บ. เพื่อนำเงินกู้มาใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 44.8 เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการทุจริตคอร์รัปชั่นมากกว่าจึงไม่ควรออกกฏหมายฉบับนี้ ขณะที่ร้อยละ 41.8 เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการกู้เงินมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าจึงควรออกกฏหมายฉบับนี้
สุดท้ายเมื่อถามว่าโดยสรุปแล้วเห็นด้วยหรือไม่กับการออก พ.ร.บ. ฉบับนี้ ร้อยละ 47.8 บอกว่า “เห็นด้วย” ขณะที่ร้อยละ 23.9 บอกว่า “ไม่เห็นด้วย” นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังได้เสนอแนะให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินโครงการต่างๆ ด้วยความโปร่งใส ให้ความสำคัญกับการป้องกันและลงโทษผู้ที่ทุจริตคอร์รัปชั่น รวมถึงควรสร้างระบบกำกับการใช้เงินอย่างใกล้ชิด และตรวจสอบได้
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
(แบ่งเป็น ร้อยละ 31.3 กังวลมากที่สุดและร้อยละ 37.3 กังวลมาก) ร้อยละ 28.4 บอกว่า “กังวลน้อยถึงน้อยที่สุด”
(แบ่งเป็น ร้อยละ 26.9 กังวลน้อยและร้อยละ 1.5 กังวลน้อยที่สุด)
ร้อยละ 3.0 ไม่กังวลเลย 5. ระหว่างการทุจริตคอร์รัปชั่นที่อาจจะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการโดยใช้เงินจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้กับความจำเป็นในการออก พ.ร.บ. เพื่อนำเงินกู้มาใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อะไรมีความสำคัญมากกว่ากัน ร้อยละ 44.8 เห็นว่า ควรให้ความสำคัญกับการทุจริตคอร์รัปชั่นมากกว่าจึงไม่ควรออกกฏหมายฉบับนี้ ร้อยละ 41.8 เห็นว่า ควรให้ความสำคัญกับการกู้เงินมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าจึงควรออกกฏหมายฉบับนี้ ร้อยละ 13.4 ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ 6. โดยสรุปแล้วเห็นด้วยหรือไม่กับการออก พ.ร.บ. ฉบับนี้ ร้อยละ 47.8 เห็นด้วย ร้อยละ 23.9 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 28.3 ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ 7. ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการพิจารณา พ.ร.บ. ฉบับนี้อันดับ 1 รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินโครงการต่างๆ ด้วยความโปร่งใสให้ความสำคัญกับการป้องกันและลงโทษผู้ที่ทุจริตคอร์รัปชั่น รวมถึงควรสร้างระบบกำกับการใช้เงินอย่างใกล้ชิด และตรวจสอบได้
อันดับ 2 รัฐบาลควรมีการจัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนในการดำเนินโครงการต่างๆ มีการพิจารณาความคุ้มทุน มีการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า นอกจากนี้ควรมีโครงการที่เน้นความเจริญไปสู่ภูมิภาคด้วย
อันดับ 3 รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในรูปแบบ PPP (Public Private Partnership) หรืออาจอยู่ในรูปการออกกองทุนในตลาดทุน เพราะจะได้ช่วยลดภาระหนี้ของภาครัฐ ช่วยให้การดำเนินโครงการมีความโปร่งใสขึ้น รวมถึงช่วยให้การดำเนินโครงการมีประสิทธิภาพขึ้น
อันดับ 4 รัฐบาลควรมีการติดตามการดำเนินโครงการต่างๆ อย่างใกล้ชิด มีหน่วยงานที่ดูแลความก้าวหน้าของโครงการที่เป็นอิสระจากโครงการทุกโครงการ รวมถึงมีการติดตามหนี้สาธารณะอย่างใกล้ชิดด้วย
อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์บางท่านยืนยันว่ารัฐบาลไม่ควรออก พ.ร.บ. ฉบันนี้ เนื่องจากเห็นว่าควรให้ความสำคัญกับเรื่องปากท้องของประชาชนมากกว่า รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าที่จะคืนทุน
หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใดรายละเอียดในการสำรวจ
1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 30 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย บริษัท TRIS Rating สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (กลต.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารธนชาต บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยแม่โจ้ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา สำนักวิชาการจัดการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 5 — 12 ตุลาคม 2555 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 25 ตุลาคม 2555ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่ หน่วยงานภาครัฐ 32 47.7 หน่วยงานภาคเอกชน 18 26.9 สถาบันการศึกษา 17 25.4 รวม 67 100.0 เพศ ชาย 35 52.2 หญิง 32 47.8 รวม 67 100.0 อายุ 26 ปี — 35 ปี 21 31.3 36 ปี — 45 ปี 22 32.8 46 ปีขึ้นไป 24 35.9 รวม 67 100.0 การศึกษา ปริญญาตรี 4 6.0 ปริญญาโท 43 64.1 ปริญญาเอก 20 29.9 รวม 67 100.0 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 8 11.9 6-10 ปี 16 23.9 11-15 ปี 13 19.4 16-20 ปี 8 11.9 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 22 32.9 รวม 67 100.0--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--