ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 30 แห่ง จำนวน 60 คน เรื่อง “การปฏิรูปการหาเสียงที่ใช้นโยบายประชานิยมสุดโต่ง” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 18 – 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา พบว่า
การหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ในรอบการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 48.3 ไม่พบเห็นการหาเสียงของพรรคการเมืองในลักษณะประชานิยมแบบสุดโต่ง รองลงมาด้วยสัดส่วนไม่ต่างกันมากคิดเป็นร้อยละ 41.7 บอกว่าพบเห็นการหาเสียงของพรรคการเมืองในลักษณะใช้นโยบายประชานิยมแบบสุดโต่ง
เมื่อถามว่า หากการปฏิรูปเกิดขึ้นจริง สังคมไทยควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการที่มีหน้าที่ศึกษาความเป็นไปได้ของนโยบายต่างๆ ที่ใช้หาเสียง หรือไม่ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 76.7 เห็นว่าควรมีคณะกรรมการที่มีหน้าที่ดังกล่าว มีเพียงร้อยละ 13.3 ที่เห็นว่าไม่ควรมี และเมื่อถามต่อว่าคณะกรรมการดังกล่าวควรมีอำนาจหน้าที่มากน้อยเพียงใด ร้อยละ 48.3 เห็นว่าควรมีหน้าที่ให้คำแนะนำความเป็นไปได้ของนโยบายที่ใช้หาเสียงอย่างเป็นทางการแก่ประชาชนเท่านั้น รองลงมาร้อยละ 40.0 เห็นว่าคณะกรรมการดังกล่าวควรสามารถระงับไม่ให้พรรคการเมืองใช้นโยบายประชานิยมสุดโต่งในการหาเสียงได้
สำหรับประเด็นการประเมินความเป็นไปได้ของนโยบายหาเสียง ส่วนใหญ่เห็นว่านโยบายหาเสียงควรมีลักษณะดังนี้
(1) แหล่งที่มาของเงินทุนต้องมีความชัดเจน และตรวจสอบได้ (ร้อยละ 96.7)
(2) ต้องมีความเป็นไปได้ที่จะทำได้จริงหากได้เป็นรัฐบาล (ร้อยละ 93.3)
(3) ต้องไม่เสนอนโยบายที่จะทำให้ประชาชนมีนิสัยขาดความรับผิดชอบ (ร้อยละ 93.3)
(4) ต้องไม่มีการแทรกแซงจนกลไกราคาไม่สามารถทำงานได้ (ร้อยละ 91.7)
(5) ต้องไม่ทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ประกอบการ (ร้อยละ 76.7)
(6) รัฐบาลต้องไม่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสินค้าต่างๆ (ร้อยละ 65.0)
(7) ต้องจ่ายเงินผ่านบัญชีของผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายเท่านั้น (ร้อยละ 61.7)
ด้านความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ต่อการแสดงความรับผิดชอบของนักการเมืองที่บริหารเศรษฐกิจผิดพลาดว่าในปัจจุบันนี้มีมากน้อยเพียงใด ร้อยละ 66.7 บอกว่าไม่มีเลย รองลงมาร้อยละ 31.7 บอกว่าแทบไม่มี สุดท้ายเมื่อถามว่า ความล้มเหลวของโครงการรับจำนำข้าวมีสาเหตุสำคัญมาจากอะไร
ร้อยละ 51.0 บอกว่ามาจากการทุจริต คอร์รัปชั่น ขาดการตรวจสอบที่เข้มงวด โปร่งใส และเด็ดขาด
ร้อยละ 29.4 บอกว่ามาจากการบริหารงานผิดพลาด การไม่มีความสามารถในการระบายข้าว คณะทำงานไม่มีความเข้าใจในโครงการ ไม่เข้าใจตลาดข้าวไทยและข้าวโลก
ร้อยละ 29.4 บอกว่ามาจากการตั้งราคาจำนำที่สูงกว่าราคาตลาดมาก ฝืนกลไกตลาด
หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
โครงการ ไม่เข้าใจตลาดข้าวไทยและข้าวโลก
ร้อยละ 29.4 การตั้งราคาจำนำที่สูงกว่าราคาตลาดมาก ฝืนกลไกตลาด ร้อยละ 19.6 การมุ่งเอาชนะการหาเสียง มุ่งเอาชนะทางการเมือง การเน้นผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นสำคัญไม่ได้ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างที่ควรจะเป็น
ร้อยละ 11.8 อื่นๆ คือ ผิดพลาดตั้งแต่หลักการจำนำ/หน่วยงานต่างๆ ของรัฐขาดการประสานงาน/ความโลภของทุนนิยม/การไม่มีรัฐบาลตัวจริง/การเน้นใช้นโยบายตามแนวคิดของ Keynes ซึ่งปัจจุบันควรมุ่งใช้แนวคิด
New Classical Economics, New Keynes Economics and New Liberal Economics มากกว่า
หมายเหตุ : เป็นข้อคำถามปลายเปิดและมีนักเศรษฐศาสตร์แสดงความคิดเห็นทั้งหมด 51 คน ซึ่งค่าร้อยละที่แสดงเป็นค่าร้อยละต่อผู้ร่วมแสดงความเห็นในประเด็นนี้เท่านั้น
รายละเอียดในการสำรวจ
เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์ต่อการปฏิรูปการหาเสียงที่ใช้นโยบายประชานิยมสุดโต่ง การมีคณะกรรมการกำกับดูแลนโยบายหาเสียง รวมถึงการแสดงความรับผิดชอบต่อการบริหารนโยบายเศรษฐกิจที่ผิดพลาด ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชน หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้รับรู้รับทราบ รวมถึงเพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการพัฒนาประเทศต่อไป
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 30 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารทหารไทยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์เคเคเทรด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ สำนักวิชาการจัดการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
การสำรวจนี้เป็นการวิจัยโดยการเลือกตัวอย่างประชากรโดยไม่อาศัยหลักความน่าจะเป็น (Non-probability sampling) แต่ละหน่วยตัวอย่างที่จะได้รับการเลือก จึงเป็นการเลือกตัวอย่างประชากรแบบเจาะจง(Purposive sampling) และดำเนินการรวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 18 – 26 กุมภาพันธ์ 2557 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 27 กุมภาพันธ์ 2557ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่
หน่วยงานภาครัฐ 23 38.3 หน่วยงานภาคเอกชน 24 40 สถาบันการศึกษา 13 21.7 รวม 60 100 เพศ ชาย 34 56.7 หญิง 26 43.3 รวม 60 100 อายุ 18 ปี – 25 ปี 1 1.7 26 ปี – 35 ปี 23 38.3 36 ปี – 45 ปี 20 33.3 46 ปีขึ้นไป 15 25 ไม่เปิดเผย 1 1.7 รวม 60 100 การศึกษา ปริญญาตรี 5 8.3 ปริญญาโท 42 70 ปริญญาเอก 13 21.7 รวม 60 100 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 12 20 6-10 ปี 15 25 11-15 ปี 10 16.7 16-20 ปี 8 13.3 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 15 25 รวม 60 100--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--