นักเศรษฐศาสตร์ 63.9% ให้นโยบายลดต้นทุนการผลิตของ คสช. เหนือ นโยบายประกันรายได้เกษตรกรในยุคอภิสิทธิ์ และนโยบายจำนำข้าวในยุคยิ่งลักษณ์ ที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากนักเศรษฐศาสตร์เพียง 13.9% และ 1.4% ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 34 แห่ง จำนวน 72 คน เรื่อง “เปรียบเทียบนโยบายข้าวจากยุค อภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ ถึง คสช. นโยบายใดโดนใจนักเศรษฐศาสตร์” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 16 – 28 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา พบว่า
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 63.9 ให้นโยบายลดต้นทุนการผลิต(ข้าว) ของ คสช. เหนือ นโยบายประกันรายได้เกษตรกรในยุคนายกฯ อภิสิทธิ์ และนโยบายจำนำข้าวในยุคนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากนักเศรษฐศาสตร์เพียงร้อยละ 13.9 และร้อยละ 1.4 ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาจากประเด็นการประเมินใน 5 ด้านพบว่านโยบายลดต้นทุนการผลิตของ คสช. ได้รับการประเมินที่เหนือกว่านโยบายประกันรายได้เกษตรกร และ นโยบายจำนำข้าวในทุกประเด็นโดยเฉพาะประเด็นการเป็นภาระต่อต้นทุนทางการคลังน้อย(ร้อยละ 58.3 บอกว่าใช่) การสะท้อนกลไกราคา(ร้อยละ 56.9) ถัดมาเป็นประเด็นการเอื้อให้เกิดการพัฒนาผลิตภาพการผลิต(ร้อยละ 41.7) การป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น(ร้อยละ 41.7) และประเด็นชาวนาได้รับสิทธิ์ทั่วถึง และเท่าเทียม(ร้อยละ 40.3)
นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินนโยบายลดต้นทุนการผลิตข้าวของ คสช. ดังนี้
อันดับ 1 ต้องให้ความสำคัญกับการตลาด การขยายตลาด ควบคู่กับการลดต้นทุนการผลิต รวมถึงควรดูแลกลไกตลาดให้มีการทำงานอย่างที่ควรจะเป็นเพื่อป้องกันพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบชาวนา
อันดับ 2 การดำเนินนโยบายลดต้นทุนต้องทำพร้อมกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) อย่างจริงจังและเห็นผลเป็นรูปธรรม ด้วยการทำ zoning พื้นที่เกษตร การปรับปรุงคุณภาพข้าว การปรับปรุงระบบชลประทาน การปรับปรุงคุณภาพดิน
อันดับ 3 บูรณาการองค์ความรู้ต่างๆ ของเกษตรกร หลักเศรษฐกิจพอเพียง ร่วมกับสถาบันการศึกษา ผู้แปรรูปสินค้า ภาคอุตสาหกรรม แล้วถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวให้กับเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้อง
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
1. เปรียบเทียบนโยบายข้าวจากยุคอภิสิทธ์ ยิ่งลักษณ์ ถึง คสช.
ประเด็นการเปรียบเทียบ นโยบาย ประกันรายได้ จำนำข้าว ลดต้นทุนการผลิต (ยุคอภิสิทธิ์) (ยุคยิ่งลักษณ์) (ยุค คสช.) 1.1 สะท้อนกลไกราคา ใช่ 31.90% 0.00% 56.90% ไม่ใช่ 54.20% 97.20% 22.20% ไม่แน่ใจ 13.90% 2.80% 20.90% 1.2 ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น ใช่ 13.90% 1.40% 41.70% ไม่ใช่ 47.20% 93.10% 15.30% ไม่แน่ใจ 38.90% 5.50% 43.00% 1.3 เอื้อให้เกิดการพัฒนาผลิตภาพการผลิต ใช่ 13.90% 2.80% 41.70% ไม่ใช่ 61.10% 88.90% 25.00% ไม่แน่ใจ 25.00% 8.30% 33.30% 1.4 การเป็นภาระต่อต้นทุนทางการคลังน้อย ใช่ 27.80% 1.40% 58.30% ไม่ใช่ 55.60% 95.80% 12.50% ไม่แน่ใจ 16.60% 2.80% 29.20% 1.5 ชาวนาได้รับสิทธิ์ทั่วถึง และเท่าเทียม ใช่ 29.20% 19.40% 40.30% ไม่ใช่ 33.30% 65.30% 6.90% ไม่แน่ใจ 37.50% 15.30% 52.80% 1.6 ท่านชอบหรือสนับสนุนนโยบายใดมากที่สุด ไม่แน่ใจ 13.90% 1.40% 63.90%20.80%
อันดับ 1 ต้องให้ความสำคัญกับการตลาด การขยายตลาด ควบคู่กับการลดต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ คสช. ควรดูแลกลไกตลาดให้มีการทำงานอย่างที่ควรจะเป็นเพื่อป้องกันพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบชาวนา รวมถึงการชดเชยราคาในกรณีที่ราคาผลผลิตตกต่ำหรือพืชผลประสบภัยธรรมชาติหรือโรคระบาดจนกระทบต่อชีวิตของชาวนา
อันดับ 2 การดำเนินนโยบายลดต้นทุนต้องทำพร้อมกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) อย่างจริงจังและเห็นผลเป็นรูปธรรม ด้วยการทำ zoning พื้นที่เกษตร การปรับปรุงคุณภาพข้าว การปรับปรุงระบบชลประทาน การปรับปรุงคุณภาพดิน
อันดับ 3 บูรณาการองค์ความรู้ต่างๆ ของเกษตรกร หลักเศรษฐกิจพอเพียง ร่วมกับสถาบันการศึกษา ผู้แปรรูปสินค้า ภาคอุตสาหกรรม แล้วถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวให้กับเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องเพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า
อันดับ 4 การดำเนินโครงการต้องทั่วถึง เป็นธรรม ไม่มีคอร์รัปชั่น ตรวจสอบได้ และต้องป้องกันการกักตุนปุ๋ย สารเคมีเพื่อการเก็งกำไร นอกจากนี้การดำเนินโครงการนี้ควรคลอบคลุมพืชสวนและพืชไร่ด้วย อันดับ 5 อื่นๆ ได้แก่ ต้องวัดผลสัมฤทธ์ของโครงการได้เป็นรูปธรรม ลดการใช้ปุ๋ยจากต่างประเทศ นำโครงการปุ๋ยแห่งชาติกลับมาดำเนินการใหม่ นโยบายนี้ต้องดำเนินการเพียงชั่วคราว ควรมีมาตราการเสริมอื่นๆ เพื่อให้ตลาดสมบูรณ์ขึ้น รวมถึงการเข้าไปแทรกแซงกลไกราคาให้น้อยที่สุด
หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใดรายละเอียดในการสำรวจ
เพื่อสะท้อนความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อนโยบายข้าวใน 3 นโยบายของรัฐบาลชุดต่างๆ ว่านโยบายใดเป็นนโยบายที่ดี แต่ละนโยบายมีจุดอ่อนจุดแข็งในประเด็นใด รวมถึงข้อเสนอแนะต่อ คสช. ในการดำเนินนโยบายลดต้นทุนการผลิต เพื่อข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 34 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารทหารไทย บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย บริษัททิพยประกันชีวิต คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
การสำรวจนี้เป็นการวิจัยโดยการเลือกตัวอย่างประชากรโดยไม่อาศัยหลักความน่าจะเป็น (Non-probability sampling) แต่ละหน่วยตัวอย่างที่จะได้รับการเลือก จึงเป็นการเลือกตัวอย่างประชากรแบบเจาะจง (Purposive sampling) และดำเนินการรวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 16 – 28 กรกฎาคม 2557 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 30 กรกฎาคม 2557ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่
หน่วยงานภาครัฐ 31 43.1 หน่วยงานภาคเอกชน 26 36.1 สถาบันการศึกษา 15 20.8 รวม 72 100 เพศ ชาย 43 59.7 หญิง 29 40.3 รวม 72 100 อายุ 18 ปี – 25 ปี 1 1.4 26 ปี – 35 ปี 16 22.2 36 ปี – 45 ปี 29 40.3 46 ปีขึ้นไป 26 36.1 รวม 72 100 การศึกษา ปริญญาตรี 4 5.6 ปริญญาโท 45 62.5 ปริญญาเอก 23 31.9 รวม 72 100 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 10 13.8 6-10 ปี 21 29.2 11-15 ปี 13 18.1 16-20 ปี 11 15.3 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 17 23.6 รวม 72 100--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--