นักเศรษฐศาสตร์ 53.7% มองเศรษฐกิจดิจิทัลถือเป็นอนาคตใหม่ของเศรษฐกิจไทย เติบโตปีละ 11% ชี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยให้หลุนจากกำดักรายได้ปานกลาง ช่วยเพิ่มขีดแข่งขัน และช่วยลดความไม่เท่าเทียม
กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 29 แห่ง จำนวน 67 คน เรื่อง “Digital Economy คลื่นลูกใหม่เศรษฐกิจไทย” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 17-23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ผลสำรวจมีดังนี้
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 68.7 เห็นว่าเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีมูลค่าประมาณ 10% ของจีดีพี จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้างในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า รองลงมาร้อยละ 25.4 มองว่าจะช่วยได้มาก ขณะที่ร้อยละ 4.4 มองว่าไม่ช่วย นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์จำนวน 24 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 35.8 คาดว่าในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจดิจิทัลจะมีการเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 11 ต่อปี
เมื่อถามว่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะช่วยประเทศไทยให้หลุดจากกับดักรายได้ปานกลางได้หรือไม่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 58.2 มองว่าจะ “ช่วยได้บ้าง” รองลงมาร้อยละ 28.4 มองว่าจะ “ไม่ช่วย” ขณะที่ร้อยละ 11.9 เห็นว่าจะ “ช่วยได้มาก” นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 67.2 เห็นว่า เศรษฐกิจดิจิทัลจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทยได้บ้างเป็นบางส่วน ขณะที่ร้อยละ 29.8 มองว่าจะช่วยได้มาก มีเพียงร้อยละ 3.0 ที่เห็นว่า “ไม่ช่วย”
สำหรับประเด็น เศรษฐกิจดิจิทัลจะช่วยสร้างความเท่าเทียมกันในด้านโอกาสของคนในสังคมได้หรือไม่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 55.2 บอกว่า “พอจะช่วยได้บ้าง” รองลงมาร้อยละ 19.4 “จะช่วยได้มาก” ซึ่งเท่ากับกลุ่มที่เห็นว่า “จะไม่ช่วย”
สุดท้ายเมื่อถามว่า โดยสรุปแล้วคิดว่าเศรษฐกิจดิจิทัลถือเป็นอนาคตใหม่ของเศรษฐกิจไทยหรือไม่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 53.7 เห็นว่า “ถือเป็นอนาคตใหม่” รองลงมาร้อยละ 31.3 ไม่ถือเป็นอนาคตใหม่
สำหรับข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล มีดังนี้
อันดับ 1 สร้างความชัดเจนว่าเศรษฐกิจดิจิทัลคืออะไร จะขับเคลื่อนอย่างไร จะวัดผลการดำเนินงานด้วยวิธีใด มีกฎหมายและมาตรการรองรับที่ชัดเจนอย่างไรบ้าง จากนั้นจึงสื่อสารกับประชาชนและภาคเอกชน รวมถึงภาครัฐ ให้มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อันดับ 2 เสนอให้มีหน่วยงานดูแลโดยตรงอย่างเร่งด่วน เช่น กระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อสื่อสารกับประชาชน/ภาคเอกชน เพื่อเตรียมบุคลากร รวมถึงพัฒนาทุนมนุษย์รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล
อันดับ 3 เศรษฐกิจดิจิทัลต้องเป็นเศรษฐกิจที่ประชาชนทุกภูมิภาค ทุกกลุ่มอาชีพ สามารถเข้าถึงได้ด้วยราคาที่เหมาะสมอันจะช่วยให้คนของเราเก่งขึ้น ช่วยสร้างโอกาสและลดความไม่เท่าเทียม
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
อันดับ 1 สร้างความชัดเจนว่าเศรษฐกิจดิจิทัลคืออะไร จะขับเคลื่อนอย่างไร จะวัดผลการดำเนินงานด้วยวิธีไหน มีกฎหมายและมาตรการรองรับที่ชัดเจนอย่างไรบ้าง จากนั้นจึงสื่อสารกับประชาชนและภาคเอกชน รวมถึงภาครัฐ ให้มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อันดับ 2 เสนอให้มีหน่วยงานดูแลโดยตรงมาดูแลอย่างเร่งด่วน เช่น กระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อสื่อสารกับประชาชน/ภาคเอกชน เพื่อเตรียมบุคลากรรวมถึงพัฒนาทุนมนุษย์รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล
อันดับ 3 เศรษฐกิจดิจิทัลต้องเป็นเศรษฐกิจที่ประชาชนทุกภูมิภาค ทุกกลุ่มอาชีพ สามารถเข้าถึงได้ด้วยราคาที่ทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้อันจะช่วยให้คนของเราเก่งขึ้น ช่วยสร้างโอกาสและลดความไม่เท่าเทียม
อันดับ 4 การดำเนินการต้องให้เอกชนเป็นผู้นำ รัฐเป็นผู้สนับสนุน โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการภาคธุรกิจต่างๆ ภาคบริการ SMEs สามารถใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มประสิทธิภาพ
อันดับ 5 อื่นๆ ส่งเสริมให้คนใช้เศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อการศึกษา สุขภาพ โอกาสทางธุรกิจ มากกว่าการใช้ประโยชน์เพียงเพื่อ socialize / ยกเลิก single gate way / การดำเนินการต้องไม่มีคอร์รัปชั่น / จัดให้ทุกกลุ่มคนในสังคมเข้ามาสู่ระบบภาษีมากขึ้น/
หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใดรายละเอียดในการสำรวจ
เพื่อทราบความสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในมิติการกระตุ้นเศรษฐกิจ การสร้างความเท่าเทียมกันให้กับสังคม ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งผลสำรวจที่ได้คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ใช้ข้อมูลเพื่อการพัฒนาประเทศต่อไป
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 29 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารทหารไทย บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย บริษัททิพยประกันชีวิต คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะพัฒนาการเศรษฐกิจสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยทักษิณ และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
การสำรวจนี้เป็นการวิจัยโดยการเลือกตัวอย่างประชากรโดยไม่อาศัยหลักความน่าจะเป็น (Non-probability sampling) แต่ละหน่วยตัวอย่างที่จะได้รับการเลือก จึงเป็นการเลือกตัวอย่างประชากรแบบเจาะจง (Purposive sampling) และดำเนินการรวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 17-23 พฤศจิกายน 58 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 13 ธันวาคม 58ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่
หน่วยงานภาครัฐ 33 49.3 หน่วยงานภาคเอกชน 22 32.8 สถาบันการศึกษา 12 17.9 รวม 67 100 เพศ ชาย 43 64.2 หญิง 24 35.8 รวม 67 100 อายุ 26 ปี – 35 ปี 13 19.4 36 ปี – 45 ปี 31 46.3 46 ปีขึ้นไป 21 31.3 ไม่ระบุ 2 3 รวม 67 100 การศึกษา ปริญญาตรี 3 4.5 ปริญญาโท 47 70.1 ปริญญาเอก 15 22.4 ไม่ระบุ 2 3 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 6 9 6-10 ปี 15 22.4 11-15 ปี 17 25.4 16-20 ปี 8 11.9 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 19 28.4 ไม่ระบุ 2 2.9 รวม 67 100--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--