ดัชนีนักเศรษฐศาสตร์ชี้ เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจนในรอบ 2 ปี สูงสุดนับจากมีรัฐบาล คสช. เชื่อมั่นรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนการใช้จ่ายและลงทุนของภาครัฐได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หนุนเสริมด้วยการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่กำลังขยายตัว ทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่องตลอดปี 59
กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความเห็น นักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 28 แห่ง จำนวน 62 คน เรื่อง “ดัชนีความเชื่อมั่นนักเศรษฐศาสตร์ต่อเศรษฐกิจไทยใน 3-6 เดือนข้างหน้า” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 25 ม.ค. - 1 ก.พ. 59 ที่ผ่านมา พบว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีต่อสถานะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 33.93 (เต็ม 100) เพิ่มขึ้น จากการสำรวจครั้งที่ผ่านมาที่อยู่ในระดับ 31.69 และเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 2 ปี นับจากเดือนมกราคม 57 อย่างไรก็ตาม การที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ค่อนข้างมากสะท้อนให้เห็นถึงสถานะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่ยังอ่อนแอเป็นอย่างมาก เมื่อวิเคราะห์ลงไปในแต่ละปัจจัยขับเคลื่อนพบว่าปัจจัยที่ทำให้ค่าดัชนีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 ค่อนข้างมาก ได้แก่ การส่งออกสินค้า(ดัชนีเท่ากับ 5.74) การลงทุนภาคเอกชน(ดัชนีเท่ากับ 9.84) และการบริโภคภาคเอกชน(ดัชนีเท่ากับ 12.30) ขณะที่ปัจจัยด้านการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้า ทำให้ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 60.66 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับจากเริ่มมีการจัดทำดัชนีเมื่อปี 2553 เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับสูงสุดนับจากมีการจัดทำดัชนีเช่นเดียวกัน โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 81.15
เมื่อมองออกไปในระยะ 3 เดือนข้างหน้า ค่าดัชนีอยู่ที่ 58.17 ลดลงจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมา (ค่าดัชนีเท่ากับ 67.39) และเมื่อมองออกไปในระยะ 6 เดือนข้างหน้าที่ค่าดัชนีอยู่ที่ 67.69 ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งก่อน (ค่าดัชนีเท่ากับ 79.69) เมื่อพิจารณาจากดัชนีองค์ประกอบพบว่าในระยะ 3 เดือนข้างหน้าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญคือ การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ รองลงมาเป็นปัจจัยด้านการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ส่วนปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในระยะ 6 เดือนข้างหน้าคือ การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน การท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และการบริโภคภาคเอกชน ตามลำดับ
ด้านความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ในประเด็นวัฏจักรเศรษฐกิจว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงใดของวัฏจักร พบว่า ร้อยละ 54.8 เห็นว่าอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัว รองลงมาร้อยละ 25.8 เห็นว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงถดถอย ร้อยละ 11.3 เห็นว่าอยู่ที่จุดต่ำสุดของวัฏจักรเศรษฐกิจ ขณะที่ร้อยละ 6.5 เห็นว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดและอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัว
(1) เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจนมากที่สุด ในรอบ 2 ปี
(2) ปัจจัยขับเคลื่อนการฟื้นตัวที่สำคัญคือ การใช้จ่ายและลงทุนของภาครัฐ และการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ดัชนีอยู่ในระดับสูงที่สุดนับจากเริ่มมีการจัดทำดัชนี
(3) เศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2559
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
ค่าดัชนีเท่ากับ 50 หมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ในสถานะปกติ (สำหรับสถานะปัจจุบัน) หรือหมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ เดิม/ไม่เปลี่ยนแปลง (สำหรับการคาดการณ์ในอีก 3 และ 6 เดือนข้างหน้าเปรียบเทียบกับปัจจุบัน)
ค่าดัชนีสูงกว่า 50 หมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ในสถานะแข็งแกร่ง (สำหรับสถานะปัจจุบัน) หรือหมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ ดีขึ้น (สำหรับการคาดการณ์ในอีก 3 และ 6 เดือนข้างหน้าเปรียบเทียบกับปัจจุบัน)
ค่าดัชนีต่ำกว่า 50 หมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ในสถานะอ่อนแอ (สำหรับสถานะปัจจุบัน) หรือหมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ แย่ลง (สำหรับการคาดการณ์ในอีก 3 และ 6 เดือนข้างหน้าเปรียบเทียบกับปัจจุบัน)
รายละเอียดในการสำรวจ
เพื่อสะท้อนความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อสถานะทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันและทิศทางในอนาคตอีก 3 และ 6 เดือนข้างหน้า รวมถึงวัฏจักรเศรษฐกิจ ให้กับประชาชนและหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนรับทราบ เพื่อนำไปใช้ประกอบการวางแผนนโยบายเศรษฐกิจและธุรกิจต่อไป
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 28 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย บริษัททิพยประกันชีวิต คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
การสำรวจนี้เป็นการวิจัยโดยการเลือกตัวอย่างประชากรโดยไม่อาศัยหลักความน่าจะเป็น (Non-probability sampling) แต่ละหน่วยตัวอย่างที่จะได้รับการเลือก จึงเป็นการเลือกตัวอย่างประชากรแบบเจาะจง (Purposive sampling) และดำเนินการรวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 25 ม.ค. - 1 ก.พ. 59 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 3 กุมภาพันธ์ 59ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่
หน่วยงานภาครัฐ 33 53.2 หน่วยงานภาคเอกชน 19 30.6 สถาบันการศึกษา 10 16.2 รวม 62 100 เพศ ชาย 39 62.9 หญิง 23 37.1 รวม 62 100 อายุ 20 ปี – 25 ปี 1 1.6 26 ปี – 35 ปี 10 16.1 36 ปี – 45 ปี 29 46.8 46 ปีขึ้นไป 22 35.5 รวม 62 100 การศึกษา ปริญญาตรี 3 4.9 ปริญญาโท 48 77.4 ปริญญาเอก 11 17.7 รวม 62 100 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 7 11.3 6-10 ปี 12 19.4 11-15 ปี 16 25.8 16-20 ปี 9 14.5 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 18 29 รวม 62 100--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--