นักเศรษฐศาสตร์เชื่อเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มองปัจจัยการท่องเที่ยวจากต่างประเทศเป็นกลไกที่สำคัญ ส่วนใหญ่อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหา เศรษฐกิจให้ดีกว่านี้
กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความเห็น นักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 30 แห่ง จำนวน 68 คน เรื่อง “ดัชนีความเชื่อมั่นนักเศรษฐศาสตร์ต่อเศรษฐกิจไทยใน 3-6 เดือนข้างหน้า” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 26 เม.ย. 59 - 12 พ.ค. 59 ที่ผ่านมา พบว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีต่อสถานะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 36.15 (เต็ม 100) เพิ่มขึ้น จากการสำรวจครั้งที่ผ่านมาที่อยู่ในระดับ 33.93 และเป็นการเพิ่มขึ้น 4 ไตรมาสติดต่อกัน นับจากเดือนเมษายน 58 อย่างไรก็ตาม การที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ค่อนข้างมากสะท้อนให้เห็นถึงสถานะเศรษฐกิจไทยใน ปัจจุบันที่ยังอ่อนแอเป็นอย่างมาก เมื่อวิเคราะห์ลงไปในแต่ละปัจจัยขับเคลื่อนพบว่าปัจจัยที่ทำให้ค่าดัชนีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 ค่อนข้างมาก ได้แก่ การลงทุนภาคเอกชน (ดัชนีเท่ากับ 9.09) รองลงมาคือ การส่งออกสินค้า(ดัชนีเท่ากับ 10.45) และการบริโภคภาคเอกชน (ดัชนีเท่ากับ 17.16) ขณะที่ปัจจัยการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เป็นปัจจัยที่มีค่าดัชนีอยู่ในระดับสูงที่สุดเท่ากับ 83.58 เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจครั้งที่ผ่านมา(ค่าดัชนีเท่ากับ 81.15) และด้านการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐเป็นอีกปัจจัยที่ ทำงานได้ดีโดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 60.45 แต่ปรับตัวลดลงจากครั้งก่อน (ค่าดัชนีเท่ากับ 60.66)
เมื่อมองออกไปในระยะ 3 เดือนข้างหน้า ค่าดัชนีอยู่ที่ 58.21 เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมา (ค่าดัชนีเท่ากับ 58.17) และเมื่อมองออกไปในระยะ 6 เดือนข้างหน้าที่ค่าดัชนีอยู่ที่ 71.90 เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งก่อน (ค่าดัชนีเท่ากับ 67.69) เมื่อพิจารณาจากดัชนีองค์ประกอบพบว่าในระยะ 3 เดือน ข้างหน้าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญคือ การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ รองลงมาเป็นปัจจัยด้านการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ส่วนปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ ในระยะ 6 เดือนข้างหน้าคือ การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การท่องเที่ยวจากต่างประเทศ การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกสินค้า ตามลำดับ
ด้านมุมมองความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ในประเด็นวัฏจักรเศรษฐกิจว่าปัจจุบันของเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงใดของวัฏจักร พบว่า ร้อยละ 50.0 เห็นว่าอยู่ใน ช่วงถดถอย รองลงมาร้อยละ 27.9 เห็นว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขยายตัว ส่วนร้อยละ 11.8 เห็นว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงตกต่ำ มีเพียงร้อยละ 1.5 ที่เห็นว่าเศรษฐกิจรุ่งเรือง
สุดท้ายเมื่อถามถึงความพึงพอใจต่อภาพรวมการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลในปัจจุบันพบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 54.4 พอใจค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะที่ ร้อยละ 45.6 พอใจค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า
(1) เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
(2) ปัจจัยขับเคลื่อนการฟื้นตัวที่สำคัญคือ การท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
หมายเหตุ: ค่าดัชนีจะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 โดย
ค่าดัชนีเท่ากับ 50 หมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ในสถานะปกติ (สำหรับสถานะปัจจุบัน) หรือหมายถึง นักเศรษฐศาสตร์ มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ เดิม/ไม่เปลี่ยนแปลง (สำหรับการคาดการณ์ในอีก 3 และ 6 เดือนข้างหน้าเปรียบเทียบกับปัจจุบัน)
ค่าดัชนีสูงกว่า 50 หมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ในสถานะแข็งแกร่ง (สำหรับสถานะปัจจุบัน) หรือหมายถึง นักเศรษฐศาสตร์ มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ ดีขึ้น (สำหรับการคาดการณ์ในอีก 3 และ 6 เดือนข้างหน้าเปรียบเทียบกับปัจจุบัน)
ค่าดัชนีต่ำกว่า 50 หมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ในสถานะอ่อนแอ (สำหรับสถานะปัจจุบัน) หรือหมายถึง นักเศรษฐศาสตร์ มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ แย่ลง (สำหรับการคาดการณ์ในอีก 3 และ 6 เดือนข้างหน้าเปรียบเทียบกับปัจจุบัน)
รายละเอียดในการสำรวจ
เพื่อสะท้อนความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อสถานะทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันและทิศทางในอนาคตอีก 3 และ 6 เดือนข้างหน้า รวมถึงวัฏจักรเศรษฐกิจ ให้กับประชาชนและหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนรับทราบ เพื่อนำไปใช้ประกอบการวางแผนนโยบายเศรษฐกิจและธุรกิจต่อไป
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี จนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 30 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย ธนาคารทหารไทย บริษัททิพยประกันชีวิต คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
การสำรวจนี้เป็นการวิจัยโดยการเลือกตัวอย่างประชากรโดยไม่อาศัยหลักความน่าจะเป็น (Non-probability sampling) แต่ละหน่วยตัวอย่างที่จะได้รับการเลือก จึงเป็นการเลือกตัวอย่างประชากรแบบเจาะจง (Purposive sampling) และดำเนินการรวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนด ภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 26 เมษายน - 12 พฤษภาคม 59 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 18 พฤษภาคม 59ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่
หน่วยงานภาครัฐ 38 55.9 หน่วยงานภาคเอกชน 20 29.4 สถาบันการศึกษา 10 14.7 รวม 68 100 เพศ ชาย 44 64.7 หญิง 24 35.3 รวม 68 100 อายุ 20 ปี – 25 ปี 1 1.5 26 ปี – 35 ปี 12 17.6 36 ปี – 45 ปี 31 45.6 46 ปีขึ้นไป 24 35.3 รวม 68 100 การศึกษา ปริญญาตรี 3 4.4 ปริญญาโท 49 72.1 ปริญญาเอก 16 23.5 รวม 68 100 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 6 8.8 6-10 ปี 16 23.5 11-15 ปี 16 23.5 16-20 ปี 11 16.2 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 19 28 รวม 68 100--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--