ในการสอบเข้าศึกษาต่อชั้น ม.1 ปีนี้ “ชื่อเสียงโรงเรียน” ถือเป็นเหตุผลส่วนใหญ่ของผู้ปกครองร้อยละ 65.3 ในการตัดสินใจพาลูกๆ ไปสอบ โดยร้อยละ 57.2 เตรียมความ พร้อมด้วยการอ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัด รองลงมาร้อยละ 56.2 ให้เรียนพิเศษตั้งแต่ ป4-ป.5-ป.6
ผู้ปกครองส่วนใหญ่ร้อยละ 59.7 กังวลว่าการสอบเข้าศึกษาต่อชั้น ม.1 ครั้งนี้มีอัตราการสอบแข่งขันสูง โดยร้อยละ 74.8 ยังคงเห็นด้วยว่าระบบการเข้าศึกษาต่อระดับ ม.1 ควรมีการสอบคัดเลือกแต่อยากให้มีการสอบมากกว่า 1 รอบ เพื่อให้โอกาสเด็ก ทั้งนี้ส่วนใหญ่ร้อยละ 72.6 คาดหวังว่าการศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 นั้น การเรียนการสอนควรมีมาตรฐาน เท่ากันทุกโรงเรียนและควรยกเลิกค่านิยมโรงเรียนดัง
ช่วงนี้เป็นช่วงที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีกำหนดให้มีการสมัครสอบเข้าศึกษาต่อของนักเรียนชั้น ม.1 ซึ่งจะประกาศผลสอบและรายงานตัว วันที่ 4 เมษายน 2561 ทั้งนี้กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ จึงดำเนินการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง “สอบเข้า ม.1 เด็กไทย...ค่านิยม กับ ความทุกข์ใจของผู้ปกครอง” โดย เก็บข้อมูลจากผู้ปกครองที่พาบุตรหลานไปสอบเข้าศึกษาต่อชั้น ม.1 ในโรงเรียนต่างๆ ของรัฐบาล ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งสิ้น 1,085 คน พบว่า
เหตุผลที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ร้อยละ 65.3 ตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้แก่บุตรหลานในการสอบเข้าศึกษาต่อชั้น ม.1 คือ ชื่อเสียงของโรงเรียน รองลงมาร้อยละ 63.7 ระบุว่า ความสะดวกในการเดินทาง และร้อยละ 57.7 ระบุว่ามั่นใจในระบบการเรียนการสอน
สำหรับการเตรียมความพร้อมให้บุตรหลานเพื่อสอบเข้า ม.1 นั้น ผู้ปกครองส่วนใหญ่ร้อยละ 57.2 ระบุว่าให้อ่านหนังสือและซื้อแบบฝึกหัดเตรียมสอบมาหัดทำเอง รองลงมาร้อยละ 56.2 ระบุว่าให้เรียนพิเศษตั้งแต่ ป4-ป.5-ป.6 และร้อยละ 45.1 ระบุว่า พาไปสอบPre-test ม.1/ซ้อมสอบเสมือนจริงตามโรงเรียนต่างๆ
ส่วนเรื่องที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ร้อยละ 59.7 กังวลมากที่สุดในการสอบเรียนต่อระดับ ม.1 ของบุตรหลานในครั้งนี้ คือ อัตราการสอบแข่งขันสูง รองลงมาร้อยละ 13.5 คือกลัว ลูกสอบไม่ติดและไม่มีโรงเรียนรัฐบาลรองรับ และร้อยละ 10.7 คือกลัวลูกสอบไม่ติดแล้วต้องไปหาโรงเรียนเอกชนค่าเทอมแพง
เมื่อถามว่า อยากให้ระบบการสอบเข้า หรือ ศึกษาต่อระดับ ม.1 ของนักเรียนในประเทศไทยเป็นอย่างไร ผู้ปกครองส่วนใหญ่ร้อยละ 74.8 ระบุว่าควรมีการสอบคัดเลือก (โดยร้อยละ 27.7 ระบุว่าอยากให้มีการสอบมากกว่า 1 รอบ เพื่อให้โอกาสเด็ก รองลงมาร้อยละ19.2 ระบุว่าสอบคัดเลือก100% เหมือนสมัยก่อน และร้อยละ 15.3 ระบุว่าให้สอบเหมือน ปัจจุบันที่แบ่งสัดส่วนนักเรียนในพื้นที่กับนอกพื้นที่) ขณะที่ร้อยละ 25.2 ระบุว่าไม่ต้องมีการสอบคัดเลือก (โดยร้อยละ 11.4 ระบุว่าให้นักเรียนมีโอกาสเข้าเรียนได้ตามเขตพื้นที่ รองลงมาร้อยละ 10.6 ระบุว่ามีโรงเรียนและที่นั่งให้พอเพียงกับนักเรียน และร้อยละ 3.4 ระบุว่าให้ใช้การทดสอบวิธีการอื่นที่เหมาะสม)
ด้านองค์ประกอบของระบบการศึกษาไทยที่หวังและอยากให้บุตรหลานได้รับขณะศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 นั้น ผู้ปกครองส่วนใหญ่ร้อยละ 72.6 มีความเห็นว่าการเรียนการสอน ควรมีมาตรฐานเท่ากันทุกโรงเรียน ไม่ควรมีการจัดระดับ/ควรยกเลิกค่านิยมโรงเรียนดัง รองลงมาร้อยละ 59.0 มีความเห็นว่าครู/อาจารย์ควรมีความทันสมัย เข้าใจหลักสูตร ไม่เอาตัวเอง เป็นศูนย์กลาง และร้อยละ 51.7 มีความเห็นว่ารัฐบาล/ผู้บริหารการศึกษาของประเทศให้ความสนับสนุนค่าเทอมค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างโอกาสเท่าเทียมกันทางการศึกษา
โดยมีรายละเอียดดังนี้
รายละเอียดในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ปกครองที่พาบุตรหลานไปสอบเข้าศึกษาต่อชั้น ม.1 เกี่ยวกับเหตุผลที่พามาสอบ การเตรียมความพร้อมในการสอบ ความกังวลต่างๆ รวมถึงรูปแบบ การเข้าศึกษาต่อชั้น ม.1และองค์ประกอบของระบบการศึกษาไทยที่คาดหวังและอยากให้ลูกหลานได้รับขณะที่ศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อระบบการศึกษาและสังคมไทย โดยรวม
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างผู้ปกครองที่พาบุตรหลานไปสอบเข้าศึกษาต่อชั้น ม.1 ในโรงเรียนต่างๆ ของรัฐบาล จำนวน 15 แห่ง ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยสุ่มประชากรเป้าหมายที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,085 คน
ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ? 4% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นคณะนักวิจัยได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 31 มีนาคม 2561
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 4 เมษายน 2561
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--