กรุงเทพโพลล์: “พ่อแม่ยุคใหม่วางแผนอย่างไรเมื่อใกล้เปิดเทอม”

ข่าวผลสำรวจ Monday May 14, 2018 07:19 —กรุงเทพโพลล์

เปิดเทอมนี้ พ่อแม่ยุคใหม่ร้อยละ 66.8 ระบุว่าการส่งลูกไปเรียนพิเศษเพิ่มมีความจำเป็นมาก สำหรับระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน โดยร้อยละ 40.8 มีการวางแผนให้ลูกเรียนด้าน ภาษาที่ 3 เพิ่มเติม เช่น ภาษาจีนและญี่ปุ่น ทั้งนี้ ร้อยละ 47.8 สนับสนุนให้ลูกเรียนเสริมในสิ่งที่เค้าชอบ ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูกนั้นร้อยละ 70.6 ระบุว่า มีการจัดสรรเงินสำหรับ การศึกษาของลูกโดยเฉพาะไว้แล้ว

ส่วนเรื่องที่ต้องการในรัฐบาลสนับสนุนมากที่สุดคือ สร้างหลักสูตรทางเลือกที่หลากหลายเหมาะกับศักยภาพของเด็ก และ ให้ครูสอนเต็มที่จะได้ไม่ต้องให้ลูกไปเรียนพิเศษเพิ่ม

ในเดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็นช่วงเปิดเทอมของโรงเรียนต่างๆ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเตรียมการวางแผนในด้านการศึกษาแก่บุตรหลานสำหรับปีการศึกษาใหม่ กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์ วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ จึงดำเนินการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง “พ่อแม่ยุคใหม่วางแผนอย่างไรเมื่อใกล้เปิดเทอม” โดยเก็บข้อมูลจากพ่อแม่ ผู้ปกครองที่มีลูกหลานศึกษาอยู่ในระดับชั้น อนุบาล- มัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งสิ้น1,175 คน มีผลสำรวจดังนี้

เมื่อถามว่าระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันมีความจำเป็นเพียงใดที่ต้องส่งบุตรหลานไปเรียนพิเศษ พ่อแม่ส่วนใหญ่ร้อยละ 66.8 ระบุว่า จำเป็นมาก รองลงมาร้อยละ 20.4 ระบุว่า จำเป็นน้อย และมีเพียงร้อยละ 12.8 ระบุว่าไม่จำเป็นเลย

ส่วนการวางแผนเพื่อเพิ่มทักษะและความสามารถให้กับลูกๆ ในเทอมใหม่นี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 40.8 จะเน้นด้านภาษาที่3 เช่น ภาษาจีนภาษาญี่ปุ่น รองลงมาร้อยละ 38.0 เน้นด้าน กีฬา และร้อยละ 23.6 เน้นด้านดนตรี/ร้องเพลง/นาฏศิลป์

โดยวิธีการสนับสนุนเพื่อเพิ่มทักษะความสามารถให้แก่ลูกๆ พ่อแม่ส่วนใหญ่ร้อยละ 47.8 ให้ลูกเรียนเสริมในสิ่งที่เค้าชอบไม่บังคับหรือกำหนดให้ลูก รองลงมาร้อยละ 46.5 กำหนดให้ ลูกไปเรียนเพื่อสร้างทักษะเฉพาะเช่น ดนตรี กีฬา คณิต ศิลปะ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ฯลฯ และร้อยละ 37.8 ให้ลูกเรียนพิเศษด้านวิชาการในวันธรรมดาและวันเสาร์-อาทิตย์

ด้านค่าเรียนพิเศษเพื่อเสริมทักษะความสามารถให้แก่ลูกๆ ด้านต่างๆ ในปัจจุบันร้อยละ 49.9 ระบุว่า ราคาพอดีแล้ว รองลงมาร้อยละ 29.0 ระบุว่าราคาสูงแต่พอรับได้ และร้อยละ 5.3 ระบุว่า ราคาสูงมากจนไม่สามารถรับได้

สำหรับการจัดเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการศึกษาของลูกๆ ส่วนใหญ่ร้อยละ 70.6 ระบุว่ามีการจัดสรรเงินไว้สำหรับการศึกษาของลูกโดยเฉพาะ รองลงมาร้อยละ 31.7 ระบุว่า นำเงินเก็บออมออกมาใช้ และร้อยละ 10.5 ระบุว่าหยิบยืมจากญาติเพื่อนกรณีหมุนเงินไม่ทัน

ทั้งนี้เรื่องที่ต้องการการสนับสนุนด้านการศึกษาจากรัฐบาลมากที่สุดร้อยละ 17.7 คือสร้างหลักสูตรทางเลือกที่หลากหลายเหมาะกับศักยภาพของเด็กรองลงมาร้อยละ 17.5 คือให้ ครูสอนเต็มที่จะได้ไม่ต้องไปเรียนพิเศษเพิ่ม และร้อยละ 15.9 ให้พัฒนาครูให้มีเทคนิคการสอนโดยยึดนักเรียนเป็นหลัก

โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. ระบบการศึกษาไทยมีความจำเป็นต้องส่งลูกๆ ไปเรียนพิเศษหรือไม่เพียงใด
จำเป็นมาก                                                  ร้อยละ	66.8
จำเป็นน้อย                                                  ร้อยละ	20.4
ไม่จำเป็นเลย                                                ร้อยละ	12.8

2. วางแผนเพื่อเพิ่มทักษะ/ความสามารถด้านการศึกษาให้ลูกๆ ในด้าน... (ตอบได้มากกว่า 1คำตอบ)
ภาษาที่3  เช่น ภาษาจีนภาษาญี่ปุ่นเป็นต้น                            ร้อยละ	40.8
กีฬา                                                       ร้อยละ	38.0
ดนตรี/ร้องเพลง/นาฏศิลป์                                       ร้อยละ	23.6
การเข้าสังคม/ทำกิจกรรม/จิตอาสา/EQ                             ร้อยละ	20.1
ศิลปะ                                                      ร้อยละ	18.0
วิชาการเพื่อสอบเข้าสถาบันการศึกษาชั้นนำ                           ร้อยละ	18.0
ภาษาเพื่อเรียนต่อหลักสูตรอินเตอร์/ต่างประเทศ                       ร้อยละ	12.0
ไม่ได้เน้นทักษะด้านใดเป็นพิเศษให้เรียนตามแผนการเรียนปกติ             ร้อยละ	16.8

3.  สิ่งที่ได้ทำและสนับสนุนเพื่อเพิ่มทักษะความสามารถให้แก่ลูกๆ คือ….(ตอบได้มากกว่า1คำตอบ)
ให้ลูกเรียนเสริมในสิ่งที่เค้าชอบไม่บังคับหรือกำหนดให้ลูก                 ร้อยละ	47.8
สร้างทักษะเฉพาะให้กับลูกเช่น ดนตรี กีฬา คณิต ศิลปะ ภาษาจีน ญี่ปุ่น ฯลฯ   ร้อยละ	46.5
ให้เรียนพิเศษวันธรรมดาและวันเสาร์-อาทิตย์                         ร้อยละ	37.8
เตรียมวางแผนระยะยาวเลือกสถาบันการศึกษาตั้งแต่อนุบาล- มหาวิทยาลัย    ร้อยละ	30.8
พาลูกไปร่วมกิจกรรมต่างๆเข้าค่ายเพื่อสร้างประสบการณ์                 ร้อยละ	19.5
ไม่ได้สนับสนุน/เพิ่มทักษะด้านใดเพิ่มเติมจากที่เรียนในโรงเรียนเลย         ร้อยละ	12.5

4. ราคาหรือค่าใช้จ่ายการเรียนพิเศษเพื่อเพิ่มทักษะความสามารถให้แก่ลูกๆในปัจจุบันเป็นอย่างไร
ราคาพอดีแล้ว                                                ร้อยละ    49.9
ราคาสูงแต่พอรับได้                                            ร้อยละ    29.0
ราคาสูงมากจนไม่สามารถรับได้                                   ร้อยละ     5.3
ไม่ได้ให้เรียนพิเศษเพราะไม่จำเป็น                                ร้อยละ    15.8

5. การจัดเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการศึกษาของลูกๆ(ตอบได้มากกว่า 1 คำตอบ)
จัดสรรเงินไว้สำหรับการศึกษาของลูกโดยเฉพาะ                       ร้อยละ    70.6
นำเงินที่เก็บออมออกมาใช้                                       ร้อยละ    31.7
หยิบยืมจากญาติเพื่อนกรณีหมุนเงินไม่ทัน                              ร้อยละ    10.5
กู้ธนาคาร/รูดบัตรเครดิต                                        ร้อยละ     3.1
กู้นอกระบบกรณีหมุนเงินไม่ทัน                                     ร้อยละ     2.8
อื่นๆ เช่น รายได้จาการทำงาน เงินโบนัส เป็นต้น                     ร้อยละ     1.2

6. เรื่องที่ต้องการการสนับสนุนด้านการศึกษาจากรัฐบาลมากที่สุด
สร้างหลักสูตรทางเลือกที่หลากหลายเหมาะกับศักยภาพของเด็ก             ร้อยละ    17.7
ให้ครูสอนเต็มที่จะได้ไม่ต้องไปเรียนพิเศษเพิ่ม                         ร้อยละ    17.5
พัฒนาครูให้มีเทคนิคการสอนโดยยึดนักเรียนเป็นหลัก                     ร้อยละ    15.9
พัฒนาหลักสูตรการศึกษาให้เหมาะสมกับลักษณะของเด็กGEN Z              ร้อยละ    14.6
ปรับระบบ/ลดการแข่งขันการสอบคัดเลือกเข้าม.1 ม.4 และมหาวิทยาลัย     ร้อยละ    12.0
ให้ทุนการศึกษาสำหรับเด็กเรียนดีแต่ยากจน                           ร้อยละ    11.0
สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุม                                    ร้อยละ    10.2
อื่นๆ  เช่น ให้มาตรฐานการสอนเท่ากันทุกโรงเรียน พัฒนาทักษะด้าน        ร้อยละ     1.1
การดำเนินชีวิต เป็นต้น

รายละเอียดในการสำรวจ

วัตถุประสงค์ในการสำรวจ

เพื่อสอบถามความคิดเห็นของพ่อแม่ผู้ปกครองในยุคใหม่ เกี่ยวกับการวางแผนการศึกษาและการสนับสนุนเพื่อเสริมทักษะความสามารถให้กับลูกหลานที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอนุบาล- มัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ในช่วงเปิดเทอมปีการศึกษาใหม่ตลอดจนความเห็นต่อค่าเรียนพิเศษเพื่อเสริมทักษะความสามารถและเรื่องที่ต้องการการสนับสนุนด้านการศึกษาจากรัฐบาลทั้งนี้เพื่อเป็น ประโยชน์ต่อระบบการศึกษาและสังคมไทยโดยรวม

ระเบียบวิธีการสำรวจ

การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกเหลาน เรียนอยู่ในระดับชั้นอนุบาล-มัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยสุ่มประชากรเป้าหมาย ที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,175 คน

ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error)

ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ?3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%

วิธีการรวบรวมข้อมูล

ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นคณะนักวิจัยได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล

ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 8-11เมษายน 2561

วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 12 เมษายน 2561

--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ