ประชาชนร้อยละ 84.1 ระบุว่าได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพง ทำให้ต้องจ่ายค่าน้ำมันเพิ่มขึ้น มีค่าเดินทางเพิ่มขึ้น โดยร้อยละ 57.1 เลือกใช้วิธีรับมือกับน้ำมันแพงด้วยการ งดเดินทาง งดเที่ยวช่วงวันหยุด
ทั้งนี้ร้อยละ 76.7 ห่วงว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในท้องตลาดจะแพงขึ้นอีกหากราคาน้ำมันยังคงแพงอยู่ โดยร้อยละ 32.2 เห็นว่ารัฐบาลควรขายน้ำมันราคาถูกให้กับบางกลุ่ม เช่นธุรกิจขนส่งสินค้า มอเตอร์ไซค์วิน แท็กซี่ ขนส่งมวลชน เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายน้ำมันและค่าเดินทางให้ประชาชน
ผลสำรวจเรื่อง ?น้ำมันแพงกับผลกระทบที่ประชาชนได้รับ?
กรุงเทพโพลล์ โดยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง ?น้ำมันแพงกับผลกระทบที่ประชาชนได้รับ? โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,123 คน เมื่อวันที่ 14-16 มีนาคม ที่ผ่านมาพบว่า
ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 84.1 ได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพง โดยระบุว่า ทำให้ต้องจ่ายค่าน้ำมันเพิ่มขึ้น มีค่าเดินทางเพิ่มขึ้น เงินเหลือเก็บลดลง ขณะที่ร้อยละ 15.9 ระบุว่าไม่ได้รับผลกระทบ เพราะไม่ค่อยได้เดินทาง บริษัทจ่ายค่าน้ำมันให้ ส่วนใหญ่ใช้บริการรถสาธารณะ
เมื่อถามถึงวิธีปรับตัวหรือรับมือกับปัญหาน้ำมันแพง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 57.1 ใช้วิธีงดเดินทาง งดเที่ยวช่วงวันหยุด รองลงมาร้อยละ 44.9 ใช้วิธีวางแผนก่อนเดินทางเพื่อเลี่ยงรถติด และร้อยละ 40.4 ใช้วิธีประหยัดค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อเก็บเงินไว้จ่ายค่าน้ำมัน
สำหรับเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 76.7 มีความกังวลหากราคาน้ำมันยังแพงอยู่คือ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในท้องตลาดอาจแพงขึ้นอีก รองลงมาร้อยละ 11.1 คือเกิดการกู้หนี้ ยืมสินเพิ่มขึ้น และร้อยละ 5.5 คือ เกิดการก่ออาชญากรรม ขโมยน้ำมัน การลักลอบขนน้ำมันเถื่อน
ส่วนความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลว่าจะสามารถจัดการกับปัญหาราคาน้ำมันแพงได้ นั้น ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 85.7 ระบุว่าไม่ค่อยเชื่อมั่นถึงไม่เชื่อมั่นเลย ขณะที่ร้อยละ 14.3 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่นถึงเชื่อมั่นมาก
ทั้งนี้เรื่องที่ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลควรทำเพื่อช่วยเหลือประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายน้ำมันและค่าเดินทางมากที่สุดร้อยละ 32.2 คือ ควรขายน้ำมันราคาถูกให้กับบางกลุ่ม เช่น ธุรกิจขนส่งสินค้าและอาหาร มอเตอร์ไซค์วิน แท็กซี่ ขนส่งมวลชน ฯลฯ รองลงมาร้อยละ 15.3 คือ ควรปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนให้มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยจากโควิด เพื่อให้คนหันมาใช้แทนรถส่วนตัว และร้อยละ 14.4 คือ ลดภาษีน้ำมัน ลดจำนวนเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อไม่ให้น้ำมันในประเทศขึ้นราคา
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
(โดยแบ่งเป็น ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 37.2 และไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 48.5)
ค่อนข้างเชื่อมั่นถึงเชื่อมั่นมาก ร้อยละ 14.3(โดยแบ่งเป็น ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 13.3 และเชื่อมั่นมาก ร้อยละ 1.0)
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบที่ได้รับจากน้ำมันแพง วิธีปรับตัวในช่วงสถานการณ์น้ำมันแพง ตลอดจนข้อกังวลและแนวทางที่รัฐบาลควรแก้ปัญหาเพื่อช่วยเหลือประชาชนลดภาระค่าใช้จ่าย ทั้งนี้เพื่อสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของประชาชนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
ประชากรที่สนใจศึกษา
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยการสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากฐานข้อมูลของกรุงเทพโพลล์ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) แล้วใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักด้วยข้อมูลประชากรศาสตร์จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error)
การประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ? 3 ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
วิธีการรวบรวมข้อมูล
ใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Enumeration by telephone) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอนประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นจึงนำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 14-16 มีนาคม 2565
วันที่เผยแพร่ผลการสำรวจ : 19 มีนาคม 2565
ที่มา: ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์