นักเศรษฐศาสตร์สนับสนุนหลักการ “รัฐสวัสดิการ” เพื่อการปรองดอง พร้อมเสนอ 5 ข้อฝ่าวิกฤติการเมืองหลังเลือกตั้งครั้งใหม่
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 23 แห่ง เรื่อง “ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจเพื่อการปรองดอง” ซึ่งเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 7-12 พ.ค. พบว่า
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 56.3 เชื่อว่าสังคมไทยโดยทั่วไปนั้นมี 2 มาตรฐานจริงตามที่กลุ่ม นปช. ใช้กล่าวอ้างในการชุมนุม ดังนั้น การสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมไทยจึงเป็นสิ่งที่ควรได้รับการแก้ไข โดยนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 33.1 เห็นว่าควรแก้ไขเรื่องความเป็นธรรมด้านสวัสดิการทางสังคมให้เท่าเทียมกัน รองลงมาควรแก้ไขเรื่องความเป็นธรรมด้านเศรษฐกิจ และด้านกระบวนการยุติธรรม คิดเป็นร้อยละ 30.1 และ 22.6 ตามลำดับ ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์มากถึงร้อยละ 60.9 เห็นว่า หลักการ “รัฐสวัสดิการ” สามารถช่วยลดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยได้และช่วยให้คนส่วนใหญ่เข้าถึงความจำเป็นพื้นฐาน เกิดความเท่าเทียมกัน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงความเห็นที่มีต่อกระบวนการปรองดองของนายกรัฐมนตรีว่าจะสามารถแก้วิกฤติทางการเมืองในปัจจุบันและในอนาคตหลังการเลือกตั้งได้หรือไม่ พบว่า นักเศรษฐศาสตร์มากถึงร้อยละ 73.4 เชื่อว่ากระบวนการปรองดองดังกล่าวจะสามารถแก้วิกฤติได้เฉพาะในปัจจุบันเท่านั้น แต่ไม่มั่นใจว่าจะสามารถแก้วิกฤติอนาคตหลังการเลือกตั้งครั้งใหม่ได้ จึงเสนอความเห็น 5 ข้อเพื่อการปรองดองหลังการเลือกตั้ง ดังนี้
1. เสนอให้ร่างกระบวนการปรองดองทั้ง 5 ข้อที่ครอบคลุมทุกประเด็น ชัดเจนเป็นรูปธรรมและ มีกำหนดเวลาที่แน่นอน โดยคำนึงถึงความถูกต้องและเหมาะสมกับสังคมไทย
2. ประกาศร่างกระบวนการปรองดองให้สาธารณชนรับทราบ
3. ลงสัตยาบันในร่างกระบวนการปรองดองดังกล่าวต่อสาธารณชน
4. เคารพผลการเลือกตั้ง เคารพคำตัดสินของ กกต. เคารพคำตัดสินของศาล
5. จริงใจและเปิดใจยอมรับฟังความคิดเห็นและข้อเท็จจริงจากฝ่ายตรงข้าม ด้วยใจเป็นธรรม และยึดประโยชน์ของประเทศและส่วนรวมเป็นสำคัญ
ปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
- ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมีระยะห่างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างด้านรายได้ ด้านโอกาสทางสังคม ด้านคุณภาพชีวิต ด้านอำนาจต่อรอง เป็นต้น
- รัฐสวัสดิการจะช่วยให้คนส่วนใหญ่เข้าถึงความจำเป็นพื้นฐาน เกิดความเท่าเทียมกัน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
- เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการสร้างโอกาส สร้างงาน ส่งเสริมและพัฒนาคนให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน
- ต้องใช้งบประมาณสูงเป็นภาระผูกพัน ขณะที่รัฐยังพึ่งพาภาษีทางอ้อมเป็นสัดส่วนสูง การขึ้นภาษีก็ทำได้ลำบาก อีกทั้งคนชนชั้นกลางปัจจุบันก็แบกรับภาระภาษีมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงควรแก้ที่โครงสร้างรายได้ของรัฐบาลก่อน
- จะทำให้ประชาชนมีประสิทธิภาพในการพึ่งพาตัวเองที่ลดลง นำมาสู่ความอ่อนแอของภาคประชาชน รวมทั้งสังคมยังขาดความโปร่งใสและคุณธรรมจริยธรรม
- อาจเป็นเครื่องมือหลักในการหาเสียงของนักการเมืองและเสี่ยงต่อการทุจริตคอร์รัปชั่น
หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ
นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด ***********************************************************************************************************
รายละเอียดในการสำรวจ วัตถุประสงค์
1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 23 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารธนชาต ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย บริษัททริสเรทติ้ง บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์ไอร่า บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 7-12 พฤษภาคม 2553 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 13 พฤษภาคม 2553ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่ หน่วยงานภาครัฐ 32 50.0 หน่วยงานภาคเอกชน 22 34.4 สถาบันการศึกษา 10 15.6 รวม 64 100.0 เพศ ชาย 36 56.2 หญิง 28 43.8 รวม 64 100.0 อายุ 18 ปี — 25 ปี 2 3.0 26 ปี — 35 ปี 36 56.3 36 ปี — 45 ปี 14 21.9 46 ปีขึ้นไป 12 18.8 รวม 64 100.0 การศึกษา ปริญญาตรี 3 4.6 ปริญญาโท 49 76.6 ปริญญาเอก 12 18.8 รวม 64 100.0 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 18 28.1 6-10 ปี 20 31.3 11-15 ปี 6 9.4 16-20 ปี 7 10.9 ตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป 13 20.3 รวม 64 100.0--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--