FAQ Issue 31: การให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน: ช่วยดึงดูด FDI เพียงใด?

ข่าวเศรษฐกิจ Monday April 11, 2011 15:14 —ธนาคารแห่งประเทศไทย

FOCUSED AND QUICK (FAQ) Issue 31

การให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน ช่วยดึงดูด FDI เพียงใด?

ณัฐิกานต์ วรสง่าศิลป์

Summary

การให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนเป็นมาตรการที่ประเทศกำลังพัฒนานิยมใช้เพื่อดึงดูด FDI แต่ความคุ้มค่าของนโยบายดังกล่าวยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาก เนื่องจากการศึกษาหลายชิ้นพบว่าสิทธิประโยชน์ฯ มีผลช่วยดึงดูด FDI ไม่มากนัก เพราะนักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญกับบรรยากาศการลงทุนเป็นหลัก หากบรรยากาศการลงทุนไม่ดี เช่น ประเทศขาดเสถียรภาพราคา หรือขาดธรรมาภิบาล แม้ให้สิทธิประโยชน์ฯ แต่นักลงทุนต่างชาติก็จะไม่สนใจ นอกจากนั้น ในหลายกรณีนักลงทุนต่างชาติต้องการเข้ามาลงทุนเพราะ push factors เช่น การหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราสูงในประเทศของตน มากกว่าจะถูกดึงดูดด้วยสิทธิประโยชน์ฯ

ในทางวิชาการมีความพยายามที่จะสร้างตัวชี้ผลสัมฤทธิ์ของการให้สิทธิประโยชน์ฯ คือ Redundancy rate หรือสัดส่วนของ FDI ที่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศหนึ่งอยู่แล้วแม้ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ฯ ซึ่งหมายความว่าการให้สิทธิประโยชน์ฯ กับโครงการเหล่านั้นจะถือเป็นการเสียรายได้ของรัฐโดยไม่คุ้มค่า พบว่าในหลายประเทศ Redundancy rate อยู่สูงกว่าร้อยละ 70 และในกรณีของประเทศไทยสูงถึงร้อยละ 81 หากอ้างอิงตัวเลขดังกล่าว การให้สิทธิประโยชน์ฯ ของประเทศไทยเสี่ยงต่อความไม่คุ้มค่า ทางการจึงควรเร่งทบทวนนโยบายการให้สิทธิประโยชน์ฯ เพื่อแก้ไขจุดอ่อนที่มีอยู่ อาทิ ปรับปรุงแนวทางการให้สิทธิประโยชน์ฯ ให้มีผลช่วยลดข้อจำกัดของการพัฒนาประเทศในแต่ละช่วงเวลา และพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ฯ ในลักษณะเฉพาะเจาะจงมากกว่าการให้แบบเปิดกว้าง โดยนำสิ่งที่ประหยัดได้มาสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีของประเทศ

บทนำ

การให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนเป็นมาตรการที่ทั่วโลกใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนภายในประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการยกระดับการผลิต การลงทุน และเทคโนโลยี มักจะใช้มาตรการนี้เป็นหลักในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) โดยประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับคือ การจ้างงาน เงินลงทุน และการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งจะช่วยยกระดับการพัฒนาประเทศและรายได้ประชากร

สำหรับประเทศไทย โดยส่วนใหญ่การให้สิทธิประโยชน์ฯ ดำเนินการผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งก่อตั้งในปี 1972 ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา เงินลงทุนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ฯ จาก BOI คิดเป็นร้อยละ 30 ของมูลค่าการลงทุนภาคเอกชนของไทย และสัดส่วนนี้สูงถึงร้อยละ 40 ในปี 1998 และ 2000 (รูปที่ 1) ทำให้อาจดูเสมือนว่าการให้สิทธิประโยชน์ฯ มีความสำคัญต่อการดึงดูด FDI เป็นอันมาก แต่ในแวดวงวิชาการทั้งในระดับประเทศและในระดับสากลยังมีการ

ถกเถียงถึงความคุ้มค่าของการให้สิทธิประโยชน์ฯ โดยคำถามที่เป็นจุดศูนย์กลางของการศึกษาจำนวนมาก คือ "FDI ที่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศหนึ่ง เป็นผลจากการให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนเพียงใด" FAQ ฉบับนี้จึงขอสรุปผลการศึกษาที่น่าสนใจในประเด็นข้างต้น เพื่อเป็นองค์ความรู้ที่ ธปท. สามารถนำไปใช้ในการให้คำปรึกษาแก่ทางการเกี่ยวกับนโยบายการให้สิทธิประโยชน์ฯ ต่อไป

การให้สิทธิประโยชน์ฯ มีประสิทธิภาพในการดึงดูด FDI เพียงใด?

ส่วนใหญ่ของงานศึกษาจากประสบการณ์ของหลายประเทศพบว่า สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนมีผลดึงดูด FDI ไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญกับอัตราผลตอบแทน (Rate of returns) ที่คาดหวังจากการลงทุนและบรรยากาศการลงทุนเป็นหลัก ที่สำคัญได้แก่ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง ความพร้อมด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานและด้านแรงงาน รวมถึงการมีระบบธรรมาภิบาลที่ดีโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้น แม้บางประเทศให้สิทธิประโยชน์จำนวนมากขณะที่มีบรรยากาศการลงทุนไม่ดี ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการดึงดูด FDI เช่น กลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกา เป็นต้น*(1)

นอกจากนี้ งานศึกษาบางชิ้นได้ข้อสรุปว่า สิทธิประโยชน์ฯ มีผลดึงดูดนักลงทุนจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปก็จริง แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยแวดล้อมทั้งหมดพบว่า นักลงทุนกลุ่มนี้ต้องการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีในอัตราสูงในประเทศตน(home country) จึงเป็นโอกาสดีที่ได้เข้ามาลงทุน ในประเทศที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีกับ FDI*(2) ดังนั้น ในความเป็นจริงในประเทศที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีกับ FDI ดังนั้น ในความเป็นจริงในประเทศตนเองอาจมีผลผลักดันการออกไปลงทุนต่างประเทศมากกว่า pull factors หรือปัจจัยดึงดูดจากประเทศที่รับ FDI ซึ่งน่าจะเทียบเคียงได้กับกรณีของบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยช่วงหลังปี 1986 จากแรงกดดันที่สำคัญ คือ การแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินเยนในช่วงดังกล่าว มากกว่าเป็นเพราะสิทธิประโยชน์ฯ ที่ได้รับจากประเทศไทย

อนึ่ง จากประสบการณ์ของอินโดนีเซียที่เริ่มให้สิทธิประโยชน์ฯ ในปี 1967 แต่ได้ยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ฯ เป็นการชั่วคราวในช่วงปี 1984-1993 (เพราะงานศึกษาที่รัฐบาลอินโดนีเซียว่าจ้าง *(3) ชี้ว่า การยกเลิกสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจะไม่ทำให้ผลตอบแทนของนักลงทุนต่ำลงมากนัก การให้สิทธิประโยชน์ฯ จึงมีบทบาทดึงดูด FDI เพียงเล็กน้อย) พบว่า ปริมาณ FDI ที่เข้ามาลงทุนในอินโดนีเซียไม่ได้ลดลงในช่วงที่ไม่มีสิทธิประโยชน์ฯ*(4) สอดคล้องกับความเห็นของงานศึกษาหลายชิ้นว่า การให้สิทธิ ว่า การให้สิทธิประโยชน์เป็นเพียงองค์ประกอบย่อยที่เสริมการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของ FDI เท่านั้น หรือ "Tax exemption is like a dessert; it is good to have, but it does not help very much if the meal is not there."*(5) และเป็นข้อสรุปในทิศทาง เดียวกับผลการศึกษาของกลุ่มประเทศในเอเชียที่ OECD ได้รวบรวมไว้

อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจจากการศึกษาบางชิ้นที่ทำการสำรวจความเห็นของนักลงทุนและภาครัฐ คือ นักลงทุนและภาครัฐมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความสำคัญของการให้สิทธิประโยชน์ฯ โดยนักลงทุนเห็นว่าสิทธิประโยชน์ฯ เป็นเรื่องรองในการตัดสินใจมาลงทุน แต่หน่วยงานภาครัฐกลับเห็นตรงกันข้าม*(6) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหน่วยงานดังกล่าวมี vested interest จากการให้ความสำคัญกับผลงานของตน โดยไม่ได้พิจารณาถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในภาพรวมของประเทศนอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐมักแสดงความเห็นว่าการแข่งขันกับประเทศอื่นในการให้สิทธิประโยชน์ฯ ช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการดึงดูดการลงทุน แต่การศึกษาบางชิ้นพบว่า ในความเป็นจริงแล้วการแข่งขันในลักษณะดังกล่าวไม่เพียงทำให้ประเทศสูญเสียผลประโยชน์มากกว่าปกติ บางครั้งยังทำให้เสียเปรียบบรรษัทข้ามชาติได้ ตัวอย่างเช่น บรรษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งมีแผนจะสร้างฐานการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จึงไปเจรจากับรัฐบาลมาเลเซียโดยให้ข้อมูลว่ากำลังเปรียบเทียบระหว่างข้อเสนอของมาเลเซียและข้อเสนอของอินโดนีเซีย ซึ่งสร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลมาเลเซียจนยอมให้สิทธิประโยชน์ฯ เป็นกรณีพิเศษ เมื่อเวลาผ่านไปรัฐบาลมาเลเซียจึงรู้ว่าบรรษัทนี้ไม่เคยมีแผนจะไปตั้งโรงงานที่อินโดนีเซียเลย

การให้สิทธิประโยชน์ฯ มีผลต่อการลงทุนโดยรวมของประเทศอย่างไร?

สำหรับผลต่อการลงทุนโดยรวมของประเทศมีไม่มากเช่นกัน เพราะนอกจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว บางการศึกษาพบ crowding out effect ระหว่าง FDI กับการลงทุนในประเทศ *(8) และแม้ว่าในทางทฤษฎี การให้สิทธิประโยชน์ฯ ควรกระทำในกรณีที่ตลาดมีความไม่สมบูรณ์ เพื่อชดเชยความไม่สมบูรณ์ดังกล่าวที่ทำให้เกิดการบิดเบือนในการตัดสินใจลงทุน*(9) แต่กลับพบว่าในความเป็นจริงการให้สิทธิประโยชน์ฯ ไม่ค่อยได้พิจารณาจากประเด็นความไม่สมบูรณ์ของตลาด บางครั้งจึงกลายเป็นปัจจัยที่เพิ่มความบิดเบือนมากกว่าที่จะลดความบิดเบือน อาทิ โน้มเอียงที่จะให้ผลประโยชน์กับ FDI มากกว่าให้ประโยชน์กับนักลงทุนในประเทศ*(10) โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา นักวิชาการบางกลุ่มจึงถึงกับมองว่า นโยบายนี้ส่งเสริมให้เกิดการโอนทรัพยากรจากประเทศยากจนไปสู่ประเทศที่ร่ำรวย*(11)

สำหรับประเทศไทยอาจมีความบิดเบือนดังกล่าวเช่นกัน โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เงินลงทุน FDI ได้รับสิทธิประโยชน์ฯ จาก BOI ในสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 70 ของมูลค่า FDI ทั้งหมด ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้รับสิทธิประโยชน์ฯ จาก BOI ในสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 26 นอกจากนี้ การให้สิทธิประโยชน์ฯ มีแนวโน้มสนับสนุนกิจการขนาดใหญ่มากกว่าขนาดเล็ก โดยในช่วงปี 1991-1995 โครงการที่มีเงินลงทุนต่ำกว่า 20 ล้านบาทและได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI มีเพียงร้อยละ 6 ซึ่งสอดคล้องกับงานศึกษาในช่วงเดียวกันที่ชี้ว่าเกณฑ์ Minimum capital requirement ของ BOI ทำให้กิจการขนาดเล็กไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ฯ*(12) อย่างไรก็ตาม BOI เริ่มตระหนักถึงปัญหานี้และให้ความสำคัญกับกิจการขนาดเล็กมากขึ้น จึงทำให้สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาพอสมควรในระยะหลัง

ความคุ้มค่าต่อประเทศในการให้สิทธิประโยชน์ฯ

Foreign Investment Advisory Service (FIAS) เป็นหน่วยงานที่หลายประเทศว่าจ้างให้ไปศึกษาในเรื่องประสิทธิผลและความคุ้มค่าของการใช้สิทธิประโยชน์ฯ เพื่อดึงดูด FDI โดยการศึกษาของ FIAS จะใช้วิธีจัดทำตัวชี้ที่สำคัญคือ Redundancy rate for incentives หรือสัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติที่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนอยู่แล้วแม้ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ฯ

วิธีการคำนวณ Redundancy Rate ของไทย

ข้อมูลที่ใช้คำนวณ Redundancy rate ได้จากการสำรวจนักลงทุนทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ฯ จาก BOI จำนวน 217 และ 100 ราย ตามลำดับ โดยนักลงทุนที่ตอบแบบสำรวจต้องให้คะแนนกับปัจจัยต่างๆ 9 ปัจจัย1/ ที่น่าจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนเพิ่มในประเทศไทย รวมกันเท่ากับ 100 คะแนน ทั้งนี้ 1 ใน 9 ปัจจัย คือ ขนาดของการให้สิทธิประโยชน์ FIAS นำคะแนนที่ได้จากการสอบถามมาคำนวณเป็นลำดับขั้น ดังนี้

1. กำหนด "คุณค่า" (Utility) ของการลงทุนโครงการจริงในปัจจุบันให้เท่ากับ 100

2. นำคะแนนที่นักลงทุนให้กับอิทธิพลของสิทธิประโยชน์ฯ (A) มาหักออกจากคุณค่าของการลงทุนโครงการจริง เพื่อคำนวณคุณค่าของโครงการเดียวกันหากไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ (= 100 - A)

3. คำนวณหาความน่าจะเป็น (Probability)2/ ของการตัดสินใจลงทุนโครงการจริงในปัจจุบันที่ได้รับสิทธิประโยชน์ฯ เทียบกับทางเลือกการลงทุนที่รองลงมา (Alternative investment choice ซึ่งนักลงทุนประเมินคุณค่าไว้ในแบบสอบถาม) เรียกว่า Prob X

4. คำนวณหา Probability ของการตัดสินใจลงทุนโครงการจริงในปัจจุบันแม้ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ฯ (จากข้อ 2) เทียบกับทางเลือกการลงทุนที่รองลงมาเรียกว่า Prob Y

5. คำนวณ Redundancy rate = Prob Y / Prob X เพื่อหาสัดส่วนของการตัดสินใจลงทุนแม้ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ฯ

1/ ประกอบด้วย (1) เสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค (2) เสถียรภาพทางการเมือง (3) การเข้าถึงวัตถุดิบราคาถูก (4) การเข้าถึงตลาดส่งออกของไทย (5) การเข้าถึงตลาดภายในประเทศ (6) การเข้าถึงแรงงานราคาถูก (7) การเข้าถึงแรงงานที่มีทักษะที่พึงพอใจ (8) ความเพียงพอของสาธารณูปโภคในต้นทุนที่สามารถยอมรับได้ และ (9) ขนาดของการให้สิทธิประโยชน์ 2/ สูตรคำนวณความน่าจะเป็นมาจาก Multinomial Logit Model FIAS พบว่า Redundancy rate ของประเทศส่วนใหญ่*(13) อยู่สูงกว่าระดับร้อยละ 70 หมายความว่า มากกว่าร้อยละ 70 ของนักลงทุนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ฯ ตั้งใจจะเข้ามาลงทุนอยู่แล้วแม้ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ฯ สัดส่วนที่สูงดังกล่าวสะท้อนประสิทธิผลของการดึงดูด FDI at the margin ที่ค่อนข้างต่ำ สำหรับประเทศไทย Redundancy rate อยู่ที่ร้อยละ 81 ในปี 1999 ซึ่งเป็นปีที่ FIAS นำข้อมูลมาใช้ศึกษา และ FIAS สรุปว่าความคุ้มค่าของการให้สิทธิประโยชน์ฯ อยู่ในระดับต่ำ เพราะต้นทุนสุทธิของการให้สิทธิประโยชน์ฯ ของ BOI ค่อนข้างสูง คิดเป็นร้อยละ 0.62 ของ GDP ในปี 1996 อนึ่ง สิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่ไทยให้กับนักลงทุนมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค จึงทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้มากกว่าโดยเปรียบเทียบ*(14) ทั้งนี้ ในประเด็นที่ FIAS กล่าวว่า ต้นทุนการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีของไทยสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคนั้น มีข้อสังเกตว่าสิทธิประโยชน์ฯ ที่ไทยให้ค่อนข้างกว้างเมื่อเทียบกับประเทศอย่างสิงคโปร์ที่เลือกให้สิทธิประโยชน์ฯ อย่างเฉพาะเจาะจง เช่น ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแก่โครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่ซับซ้อน พร้อมทั้งมีเงื่อนไขประกอบการให้สิทธิประโยชน์ฯ มาก ขณะที่ไทยกำหนดขนาดของสิทธิประโยชน์ฯ ขึ้นอยู่กับเขตที่ตั้งอุตสาหกรรม เป็นต้น อาจเป็นได้ว่าลักษณะดังกล่าวมีส่วนทำให้สิงคโปร์สามารถดึงดูด FDI ที่ต้องการในต้นทุนที่ต่ำกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าไทย นอกจากงานศึกษาของ FIAS แล้ว ยังมีการศึกษาอื่นๆ ทั้งที่ใช้ข้อมูลจากการสำรวจความเห็น (Opinion survey) การใช้วิธีการทางเศรษฐมิติ (Econometrics) มาหาความสัมพันธ์ของข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค และการเปรียบเทียบสถิติต่างๆ ผลการศึกษาเหล่านั้นมีทั้งที่เห็นว่าการให้สิทธิประโยชน์ฯ มีความคุ้มค่าและไม่คุ้มค่า (แต่ส่วนใหญ่ค่อนไปทางสรุปว่าความคุ้มค่าอยู่ในระดับต่ำหรือไม่คุ้มค่า)โดยความคุ้มค่าขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศและช่วงเวลาที่ศึกษาด้วย อนึ่ง งานศึกษาเหล่านี้ค่อนข้างมีข้อจำกัดในการคำนวณหาต้นทุนและผลประโยชน์แฝง โดยต้นทุนแฝง คือ ต้นทุนที่สังคมต้องจ่ายให้กับผลของการให้สิทธิประโยชน์ฯ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ฯ แก่ FDI คุณภาพต่ำ ซึ่งสร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในระดับสูง เป็นต้น และผลประโยชน์แฝง คือ spillover ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศที่สำคัญ เป็นต้น บทสรุป งานศึกษาที่ผ่านมาไม่ได้ยืนยันถึงบทบาทที่สำคัญของการให้สิทธิประโยชน์ฯ ในการดึงดูด FDI และความคุ้มค่าของการให้สิทธิประโยชน์ฯ ต่อประเทศ ทว่างานศึกษาเหล่านี้ยังค่อนข้างมีข้อจำกัดในการคำนวณหาต้นทุนและผลประโยชน์แฝงของการให้สิทธิประโยชน์ฯ ซึ่งอาจทำให้ข้อสรุปคลาดเคลื่อน อย่างไรก็ดี งานศึกษาหลายชิ้นชี้ให้เห็นถึง แนวทางที่รัฐบาลไทยอาจนำมาพิจารณาปรับปรุงให้การให้สิทธิประโยชน์ฯ มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ อาทิ เป็นอยู่ อาทิ ปรับปรุงแนวทางการให้สิทธิประโยชน์ฯ ให้มีผลช่วยลดข้อจำกัดของการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน เช่น การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging population) และรัฐบาลควรเข้มงวดต่อการให้สิทธิประโยชน์ฯ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ฯ ในลักษณะเฉพาะเจาะจง มากกว่าการให้แบบเปิดกว้างเพื่อลดต้นทุนการให้สิทธิประโยชน์ และนำสิ่งที่ประหยัดได้มาใช้ในการสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีของประเทศ ซึ่งรวมถึงการสร้างความชัดเจน ความโปร่งใส และความต่อเนื่องของ แนวนโยบาย การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการฝึกฝนแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการดึงดูด FDI คุณภาพสูง และช่วยกระตุ้นการลงทุนของผู้ประกอบการภายในประเทศด้วย ควบคู่ไปกับการรักษาสภาพแวดล้อมที่ดีด้านเศรษฐกิจมหภาค *(1) Sebastian and Van Parys (2009) และ Morisset and Pirnia (2001) *(2) Desai, Foley and Hines (2004) และ Mooij and Enderveen (2003) *(3) Harvard Institute for International Development (1983) *(4) Well (1986) และ Well and Allen (2001) *(5) Aharoni (1966) *(6) Aharoni (1966) และ Robinson (1961) *(7) Well and Allen (2001) *(8) Hassett and Hubbard (2002) *(9) Halvorsen (1995) *(10) Hassett and Hubbard (2002) *(11) Well and Allen (2001) *(13) FIAS (2009) กล่าวว่านิคารากัวที่มีค่า Redundancy rate ต่ำมากถือได้ว่าเป็นกรณียกเว้น เนื่องจาก FDI ที่ไปลงทุนส่วน ใหญ่คืออุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพื่อการส่งออก ซึ่งสามารถ ย้ายฐานการผลิตได้อย่างรวดเร็วเมื่อสิทธิประโยชน์ที่ได้รับสิ้นสุด *(14) FIAS (2009) Contact author: Mrs. Nutthikarn Vorasa-ngasil Senior researcher Economic Research Department [email protected] References Alexander Klemm and Stefan Van Parys,Empirical Evidence on the Effects of Tax Incentives , 2009. Boadway, et.al., Are Tax Incentives Biased against Small Firms in Thailand?, 1996. Deunden Nikomborirak, An Assessment of the Investment Regime: THAILAND Country Report , 2004. Foreign Investment Advisory Service, Kingdom of Thailand: A Review of Investment Incentives, 1999. Halvorsen, Fiscal Incentives for Investment in Thailand , 1995. Hassett and Hubbard, Tax Policy and Business Investment , 2002. Harvard Institute of International Development, Impact of Tax Reform on Foreign Investors 1983. OECD, International Investment Perspectives 2004. Sebastian James and Stefan Van Parys,Tax and Non-tax Incentives and Investments: Evidence and Policy Implication , 2009. Well et al., Using Tax Incentives to Compete for Foreign Investment: Are They Worth the Costs?, Occasional paper 15, 2001. ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ