จากผลการตอบแบบสอบถามภาวะธุรกิจส่งออก จากผู้ประกอบการ จำนวน 224 ราย ได้ผลดังนี้
ดัชนีมูลค่าส่งออก ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 มีค่าเท่ากับ 55.0 สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะ/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็ก/เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยางเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผักผลไม้สด/ แช่เย็น/แช่แข็ง/กระป๋องและแปรรูป ยางพารา อาหารทะเลแช่เยือกแข็งเชื้อเพลิงและพลังงาน สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ รองเท้าและชิ้นส่วน และ ข้าว
ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 มีค่า 60.7 สินค้าที่มีคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะ/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็ก/เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ รองเท้าและชิ้นส่วน สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผักผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/กระป๋องและแปรรูป ยางพารา อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง เชื้อเพลิงและพลังงาน ส่วนสินค้าที่มูลค่าคำสั่งซื้อใหม่ลดลง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และ ข้าว
ดัชนีการจ้างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 มีค่าเท่ากับ 53.8 แสดงว่าการจ้างงานภาคการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ดัชนีสินค้าคงคลังในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 มีค่า 49.8 มูลค่า สินค้าคงคลังที่ลดลง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เหล็ก/เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ รองเท้าและชิ้นส่วน เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และ อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง ส่วนมูลค่าสินค้าคงคลัง เพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะ/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก สิ่งทอ ยางพารา และ อาหารสำเร็จรูป
ปัญหา
- ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไป
- ขาดแคลนตู้สินค้า ค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะค่าระวางเรือไปยุโรป และสหรัฐอเมริกา ปรับตัว สูงขึ้นมาก
- การดำเนินงานของส่วนราชการบางแห่งยังมีความล่าช้า ทำให้ธุรกิจดำเนินไปด้วยความยากลำบาก
- ขาดแคลนแรงงานทั้งแรงงานมีฝีมือ และแรงงานไร้ฝีมือ ทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันกับความต้องการของลูกค้า
- ขาดแคลนแป้งมันสำปะหลัง
- สภาวะการแข่งขันที่รุนแรงจากต่างประเทศ โดยที่คู่แข่ง เช่น จีนและอินเดีย ได้รับการสนับสนุนจากการคืนภาษีสูงกว่าประเทศไทย ที่ยังคงอัตราการสนับสนุนผู้ประกอบการในอัตราภาษีเหมือนเดิม
ข้อเสนอแนะ
ภาครัฐควรดำเนินการ ดังนี้
- ดูแลเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพ
- ควรรีบแก้ไขสภาวะการขาดแคลนน้ำตาลทรายภายในประเทศ
- ควรเร่งกระตุ้นให้ต่างประเทศ เกิดความเชื่อมั่นที่จะมาลงทุนและสั่งซื้อของจากไทยมากกว่านี้
- ควบคุมภาษีน้ำมัน เพื่อให้ต้นทุนการขนส่งต่ำลง-ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วยการให้สิทธิพิเศษอื่นๆ นอกเหนือจากการยกเว้นภาษี
หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีภาวะธุรกิจส่งออกจะมีการปรับปรุงข้อมูลดัชนีย้อนหลัง 1 เดือน
1. กลุ่มสินค้าเป้าหมายที่ทำการสำรวจ มีจำนวน 86 กลุ่มสินค้า
2. การคำนวณดัชนี เป็นดัชนีการกระจาย (Diffusion Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่มีคุณสมบัติเด่นในการเป็นตัวชี้นำ (leading indicator) และแสดงทิศทางการเติบโต (growth) ของภาวะธุรกิจ จากการแปลงข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative) ให้เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative) โดยกำหนดค่าคำตอบที่ได้รับจากผู้ตอบแบบสอบถาม คือ เพิ่มขึ้นให้คะแนน เท่ากับ 1เท่าเดิมให้คะแนน เท่ากับ 0.5 และลดลงให้คะแนนเท่ากับ 0 จากนั้นนำคะแนนทั้งหมดมารวมกัน หารด้วยจำนวนผู้ตอบแบบทั้งหมด แล้วคูณด้วย 100 จะได้ดัชนีของแต่ละคาบเวลา ดัชนีจะมีค่าสูงสุดเท่ากับ 100 และค่าต่ำสุดเท่ากับ 0
3. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อแสดงทิศทางเศรษฐกิจภาคการส่งออก ใช้เส้นค่า 50 (break even point) เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ถ้าผลการคำนวณดัชนีอยู่เหนือเส้น50 แสดงว่านักธุรกิจมองว่าธุรกิจดีขึ้น ถ้าดัชนีอยู่ใกล้แนวเส้น 50แสดงว่านักธุรกิจมองว่าธุรกิจไม่เปลี่ยนแปลง และถ้าดัชนีอยู่ใต้เส้น 50แสดงว่านักธุรกิจมองว่าธุรกิจแย่ลง
ทั้งนี้ ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว หากดัชนีตัดแนวเส้น 50 ลงมา หมายถึง ภาวะธุรกิจแย่ลงหรือชะลอตัว สำหรับในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ถ้าดัชนีตัดแนวเส้น 50 ขึ้นไป แสดงว่าภาวะธุรกิจดีขึ้นหรือขยายตัว
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โทร.0 2507 5811-13, โทรสาร 0 2507 5806,0 2507 5825
www.price.moc.go.thEmail: [email protected]