แท็ก
บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน)
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
กระทรวงพาณิชย์
มันสำปะหลัง
คณะรัฐมนตรี
ข้าวเปลือก
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประเมินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีและมันสำปะหลัง ปี 2548/49 และ ปี 2549/50 ซึ่งคณะกรรมการประเมินการดำเนินงานตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกและมันสำปะหลัง ที่กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้ง โดยอธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นประธานกรรมการ ได้ทำการศึกษาและประเมิน สรุปได้ดังนี้
1. ข้าวเปลือกนาปี
1.1 ราคารับจำนำและปริมาณรับจำนำ
1) ราคารับจำนำ (บาท/ตัน)
ชนิดข้าว ปี 2549/50 ปี 2548/49
ข้าวเปลือกหอมมะลิ 8,700-9,000 9,700-10,000
ข้าวเปลือกเจ้า 5,900-6,500 6,700-7,100
2) ปี 2549/50 ได้กำหนดราคารับจำนำที่สอดคล้องกับราคาตลาดในขณะนั้นมีผลกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันรับซื้อข้าวเปลือกในตลาดเพิ่มขึ้น เกษตรกรจึงนำผลผลิตมาจำนำค่อนข้างน้อยเพียง จำนวน 1,809,316 ตัน (ณ 23 พ.ค. 50)
3) ปี 2548/49 ได้กำหนดราคารับจำนำที่สูงกว่าราคาตลาดมาก ทำให้เกษตรกรมุ่งจำนำข้าวเปลือกกับภาครัฐ โดยมีปริมาณรับจำนำมากถึงจำนวน 5,291,831 ตัน
1.2 ผลต่อราคาและรายได้ การดำเนินการรับจำนำทั้ง 2 ปี มีผลให้รายได้ของเกษตรกรทั้งระบบเพิ่มขึ้นจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาในตลาด ดังนี้
1) ปี 2549/50 การกำหนดราคารับจำนำที่สอดคล้องกับราคาตลาด ทำให้ราคาที่เป็นจริงในตลาดค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้นตามราคารับจำนำ เกษตรกรส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์ ซึ่งรวมถึงเกษตรกรที่จำนำข้าวกับรัฐที่สามารถ ไถ่ถอนข้าวเปลือกมาขายในตลาดเมื่อราคาสูงขึ้น
2) ปี 2548/49 การกำหนดราคารับจำนำที่สูงกว่าราคาตลาดมาก และผู้ค้าออกมาแข่งขันรับซื้อน้อย ทำให้ราคาในตลาดมีการเคลื่อนไหวสูงขึ้นเล็กน้อยและอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคารับจำนำ
1.3 ผลต่อภาวะการค้า
1) ปี 2549/50 จากการกำหนดราคารับจำนำดังกล่าว มีผลให้เกษตรกรยอมรับกลไกการตลาดมากขึ้น และได้สะท้อนถึงต้นทุนการส่งออกที่เหมาะสม ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการส่งออกข้าวของไทย
2) ปี 2548/49 การกำหนดราคารับจำนำดังกล่าวได้ส่งผลต่อการยกระดับรายได้ของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ส่งผลกระทบให้การทำงานของกลไกตลาดไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้นทุนการส่งออกข้าวของไทยสูงขึ้น
2. มันสำปะหลัง
2.1 ราคารับจำนำและปริมาณรับจำนำ
1) ปี 2549/50 ได้กำหนดราคารับจำนำเป็นขั้นบันได โดยเริ่มจากเดือน พ.ย. 49 กก.ละ 1.25 บาท ปรับเพิ่มขึ้นเดือนละ 0.05 บาท/กก. จนกระทั่งเดือน เม.ย. 50 ราคารับจำนำ กก. ละ 1.50 บาท โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งโรงแป้งและลานมัน ทำให้สามารถรองรับปริมาณการจำนำของเกษตรกรได้มากขึ้น โดยมีปริมาณรับจำนำ จำนวน 1,141,261 ตัน
2) ปี 2548/49 ได้มีการกำหนดราคารับจำนำเป็น 2 ช่วง คือ เดือน ธ.ค. 48 กก. ละ 1.30 บาท และเดือน ม.ค. — เม.ย. 49 กก. ละ 1.50 บาท และมีผู้เข้าร่วมโครงการเฉพาะลานมัน ส่งผลให้ปริมาณรับจำนำมีเพียง จำนวน 777,879 ตัน
2.2 ผลต่อราคาและรายได้ จากการดำเนินการทั้ง 2 ปี ส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น ดังนี้
1) ปี 2549/50 ราคาที่เกษตรกรขายได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดโครงการส่งผลให้เกษตรกรทั้งระบบได้รับรายได้เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากเกษตรกรในโครงการที่จำนำกับภาครัฐ
2) ปี 2548/49 การดำเนินการส่งผลให้ราคาไม่ลดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นซึ่งเกษตรกรในโครงการได้รับประโยชน์โดยตรง
2.3 ผลต่อภาวะการค้า การดำเนินการในปี 2549/50 ส่งผลดีต่อภาวะการค้า เนื่องจากการกำหนดราคารับจำนำเป็นขั้นบันได จูงใจให้เกษตรกรมีการทยอยการขุดหัวมันสดออกสู่ตลาดสอดคล้องกับความต้องการของตลาด สร้างความมั่นใจให้กับผู้ส่งออก ส่งผลต่อความสามารถในการส่งออกเพิ่มขึ้น
3. ข้อเสนอแนะ
3.1 ระยะสั้น (1-2 ปี) ยังจำเป็นต้องแทรกแซงตลาด โดยให้แทรกแซงเท่าที่จำเป็นเพื่อให้กลไกการตลาดทำงานตามปกติ เช่น กำหนดราคารับจำนำเป็นร้อยละของราคาเป้าหมายนำการชดเชยจ่ายตรงแก่เกษตรกร การเชื่อมโยงตลาด การชะลอการขุดหัวมัน และการสร้างตลาดการซื้อขายหัวมันสดให้เกษตรกรล่วงหน้า 5-10 วัน เป็นต้น
3.2 ระยะยาว (3-5 ปี) ลดบาบาทในการแทรกแซงตลาด โดยจัดระเบียบการค้าทั้งภายในประเทศและการส่งออก สร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ โดยมีหน่วยงานอิสระกำกับดูแลกันเอง การสร้างพันธมิตรทางการค้า การส่งเสริมการประกันความเสี่ยง การส่งเสริมการใช้กลไกในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า การสร้างระบบข้อมูลภูมิอากาศและเผยแพร่วิธีการเลื่อนการเพาะปลูกมันสำปะหลัง เป็นต้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 12 มิถุนายน 2550--จบ--
1. ข้าวเปลือกนาปี
1.1 ราคารับจำนำและปริมาณรับจำนำ
1) ราคารับจำนำ (บาท/ตัน)
ชนิดข้าว ปี 2549/50 ปี 2548/49
ข้าวเปลือกหอมมะลิ 8,700-9,000 9,700-10,000
ข้าวเปลือกเจ้า 5,900-6,500 6,700-7,100
2) ปี 2549/50 ได้กำหนดราคารับจำนำที่สอดคล้องกับราคาตลาดในขณะนั้นมีผลกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันรับซื้อข้าวเปลือกในตลาดเพิ่มขึ้น เกษตรกรจึงนำผลผลิตมาจำนำค่อนข้างน้อยเพียง จำนวน 1,809,316 ตัน (ณ 23 พ.ค. 50)
3) ปี 2548/49 ได้กำหนดราคารับจำนำที่สูงกว่าราคาตลาดมาก ทำให้เกษตรกรมุ่งจำนำข้าวเปลือกกับภาครัฐ โดยมีปริมาณรับจำนำมากถึงจำนวน 5,291,831 ตัน
1.2 ผลต่อราคาและรายได้ การดำเนินการรับจำนำทั้ง 2 ปี มีผลให้รายได้ของเกษตรกรทั้งระบบเพิ่มขึ้นจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาในตลาด ดังนี้
1) ปี 2549/50 การกำหนดราคารับจำนำที่สอดคล้องกับราคาตลาด ทำให้ราคาที่เป็นจริงในตลาดค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้นตามราคารับจำนำ เกษตรกรส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์ ซึ่งรวมถึงเกษตรกรที่จำนำข้าวกับรัฐที่สามารถ ไถ่ถอนข้าวเปลือกมาขายในตลาดเมื่อราคาสูงขึ้น
2) ปี 2548/49 การกำหนดราคารับจำนำที่สูงกว่าราคาตลาดมาก และผู้ค้าออกมาแข่งขันรับซื้อน้อย ทำให้ราคาในตลาดมีการเคลื่อนไหวสูงขึ้นเล็กน้อยและอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคารับจำนำ
1.3 ผลต่อภาวะการค้า
1) ปี 2549/50 จากการกำหนดราคารับจำนำดังกล่าว มีผลให้เกษตรกรยอมรับกลไกการตลาดมากขึ้น และได้สะท้อนถึงต้นทุนการส่งออกที่เหมาะสม ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการส่งออกข้าวของไทย
2) ปี 2548/49 การกำหนดราคารับจำนำดังกล่าวได้ส่งผลต่อการยกระดับรายได้ของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ส่งผลกระทบให้การทำงานของกลไกตลาดไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้นทุนการส่งออกข้าวของไทยสูงขึ้น
2. มันสำปะหลัง
2.1 ราคารับจำนำและปริมาณรับจำนำ
1) ปี 2549/50 ได้กำหนดราคารับจำนำเป็นขั้นบันได โดยเริ่มจากเดือน พ.ย. 49 กก.ละ 1.25 บาท ปรับเพิ่มขึ้นเดือนละ 0.05 บาท/กก. จนกระทั่งเดือน เม.ย. 50 ราคารับจำนำ กก. ละ 1.50 บาท โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งโรงแป้งและลานมัน ทำให้สามารถรองรับปริมาณการจำนำของเกษตรกรได้มากขึ้น โดยมีปริมาณรับจำนำ จำนวน 1,141,261 ตัน
2) ปี 2548/49 ได้มีการกำหนดราคารับจำนำเป็น 2 ช่วง คือ เดือน ธ.ค. 48 กก. ละ 1.30 บาท และเดือน ม.ค. — เม.ย. 49 กก. ละ 1.50 บาท และมีผู้เข้าร่วมโครงการเฉพาะลานมัน ส่งผลให้ปริมาณรับจำนำมีเพียง จำนวน 777,879 ตัน
2.2 ผลต่อราคาและรายได้ จากการดำเนินการทั้ง 2 ปี ส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น ดังนี้
1) ปี 2549/50 ราคาที่เกษตรกรขายได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดโครงการส่งผลให้เกษตรกรทั้งระบบได้รับรายได้เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากเกษตรกรในโครงการที่จำนำกับภาครัฐ
2) ปี 2548/49 การดำเนินการส่งผลให้ราคาไม่ลดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นซึ่งเกษตรกรในโครงการได้รับประโยชน์โดยตรง
2.3 ผลต่อภาวะการค้า การดำเนินการในปี 2549/50 ส่งผลดีต่อภาวะการค้า เนื่องจากการกำหนดราคารับจำนำเป็นขั้นบันได จูงใจให้เกษตรกรมีการทยอยการขุดหัวมันสดออกสู่ตลาดสอดคล้องกับความต้องการของตลาด สร้างความมั่นใจให้กับผู้ส่งออก ส่งผลต่อความสามารถในการส่งออกเพิ่มขึ้น
3. ข้อเสนอแนะ
3.1 ระยะสั้น (1-2 ปี) ยังจำเป็นต้องแทรกแซงตลาด โดยให้แทรกแซงเท่าที่จำเป็นเพื่อให้กลไกการตลาดทำงานตามปกติ เช่น กำหนดราคารับจำนำเป็นร้อยละของราคาเป้าหมายนำการชดเชยจ่ายตรงแก่เกษตรกร การเชื่อมโยงตลาด การชะลอการขุดหัวมัน และการสร้างตลาดการซื้อขายหัวมันสดให้เกษตรกรล่วงหน้า 5-10 วัน เป็นต้น
3.2 ระยะยาว (3-5 ปี) ลดบาบาทในการแทรกแซงตลาด โดยจัดระเบียบการค้าทั้งภายในประเทศและการส่งออก สร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ โดยมีหน่วยงานอิสระกำกับดูแลกันเอง การสร้างพันธมิตรทางการค้า การส่งเสริมการประกันความเสี่ยง การส่งเสริมการใช้กลไกในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า การสร้างระบบข้อมูลภูมิอากาศและเผยแพร่วิธีการเลื่อนการเพาะปลูกมันสำปะหลัง เป็นต้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 12 มิถุนายน 2550--จบ--