คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการรณรงค์ให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้ทราบถึงร่างพระราชบัญญัตินี้
ร่างพระราชบัญญัตินี้บัญญัติขึ้นโดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภค โดยผู้บริโภคไม่ต้องพิสูจน์ถึงความไม่ปลอดภัยของสินค้า ตลอดจนความจงใจหรือประมาทเลินเล่อในการกระทำผิดของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าแต่เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สมควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลเพื่อสะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายปัจจุบันยังไม่สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างพอเพียง จึงต้องบัญญัติกฎหมายขึ้นใหม่ และกำหนดให้ร่างพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษานั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มีเวลาที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สินค้าของตนมีมาตรฐานมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายก็สามารถฟ้องคดีตามกฎหมายละเมิดที่มีอยู่ในปัจจุบันได้
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ชื่อร่างพระราชบัญญัติ ได้แก้ไขชื่อร่างเป็น "ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. …."
2. วันใช้บังคับ ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
3. กรณีมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติเรื่องเดียวกับพระราชบัญญัตินี้ ได้กำหนดให้กรณีที่มีกฎหมายอื่นบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าไว้เป็นการเฉพาะ ซึ่งให้ความคุ้มครองผู้เสียหายมากกว่าพระราชบัญญัตินี้ ก็ให้บังคับตามกฎหมายนั้น
4. กำหนดบทนิยาม
4.1 "สินค้า" ให้หมายความว่า สังหาริมทรัพย์ทุกชนิดที่ผลิตหรือนำเข้าเพื่อขาย และให้หมายความรวมถึง กระแสไฟฟ้าและผลิตผลเกษตรกรรมที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการผลิตด้วย ทั้งนี้ เพื่อขยายขอบเขตการให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภคและสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ รวมทั้งให้มีการกำหนดยกเว้นสินค้าซึ่งจะไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติ โดยให้ตราเป็นกฎกระทรวง
4.2 "สินค้าที่ไม่ปลอดภัย" กำหนดไว้เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายและสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ รวมทั้งเพื่อมิให้ผู้ใช้กฎหมายเกิดความสับสนกับคำว่า "สินค้าที่ชำรุดบกพร่อง"ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
4.3 "ความเสียหาย" หมายความถึง ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ อนามัย จิตใจ หรือทรัพย์สิน แต่ไม่รวมถึงสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ อีกทั้งยังทำให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย
4.4 "ความเสียหายต่อจิตใจ" กำหนดให้ศาลสามารถกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายต่อจิตใจได้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย อนึ่ง แม้ว่าในทางปฏิบัติ ศาลคดีแพ่งไม่เคยพิพากษาให้ค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจตามคำขอของผู้เสียหายแต่อย่างใด โดยกล่าวอ้างว่าไม่มีกฎหมายให้อำนาจเรียกค่าเสียหายดังกล่าวไว้ และทำให้มาตรานี้ขาดความศักดิ์สิทธิ์ในทางปฏิบัติไปอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงกำหนดให้ชัดเจนในพระราชบัญญัตินี้ว่าให้ศาลสามารถกำหนดค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายต่อจิตใจได้
5. ความรับผิดร่วมกันของผู้ประกอบการ กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบการทุกคนต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้เสียหายในความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย และสินค้านั้นได้มีการขายให้แก่ผู้บริโภคแล้ว ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้ประกอบการหรือไม่ก็ตาม ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ
6. ภาระการพิสูจน์ ได้กำหนดให้ผู้เสียหายหรือผู้มีสิทธิฟ้องคดีแทนตามมาตรา 10 ต้องพิสูจน์ว่าผู้เสียหายได้รับความเสียหายจากสินค้าของผู้ประกอบการ และการใช้หรือการเก็บรักษาสินค้านั้นเป็นไปตามปกติธรรมดาแต่ไม่ต้องพิสูจน์ว่าความเสียหายเกิดจากการกระทำของผู้ประกอบการผู้ใด
7. เหตุหลุดพ้นความรับผิด ได้แก้ไขเพิ่มเติมเหตุหลุดพ้นความรับผิดของผู้ประกอบการตามที่กำหนดไว้ในร่างมาตรา 7 เดิมบางประการ และได้กำหนดเหตุหลุดพ้นความรับผิดเพิ่มเติมขึ้นใหม่ ได้แก่ กรณีผู้เสียหายได้รู้อยู่แล้วว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย และกรณีความเสียหายเกิดขึ้นจากการที่ผู้เสียหายเก็บรักษาสินค้าไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นหลักปกติทั่วไปของเหตุยกเว้นความรับผิดทางละเมิด
8. ข้อยกเว้นความรับผิดของผู้ผลิตตามคำสั่งของผู้ว่าจ้างให้ผลิต กำหนดให้ผู้ผลิตตามคำสั่งของผู้ว่าจ้างให้ผลิตไม่ต้องรับผิดหากพิสูจน์ได้ว่าความไม่ปลอดภัยของสินค้าเกิดจากการออกแบบของผู้ว่าจ้างให้ผลิตหรือจากการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ว่าจ้างให้ผลิต ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ
9. ข้อตกลงจำกัดหรือยกเว้นความรับผิดของผู้ประกอบการ ได้กำหนดเพิ่มเติมให้ข้อตกลงที่ผู้บริโภคกับผู้ประกอบการได้ทำไว้ล่วงหน้าเพื่อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของผู้ประกอบการ จะนำมายกขึ้นกล่าวอ้างไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ และสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ
10. การฟ้องคดี ได้กำหนดให้สมาคมที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้เสียหายตามพระราชบัญญัตินี้ โดยกำหนดให้สมาคมดังกล่าวได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมเช่นเดียวกับกรณีที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นผู้ดำเนินการ แต่ไม่รวมถึงความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด
11. ค่าเสียหายอื่นนอกจากค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดเพิ่มเติมให้ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อความเสียหายต่อจิตใจได้ เพื่อความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย และเป็นแนวทางแก่ศาลในการพิจารณากำหนดค่าเสียหายประเภทนี้ และได้กำหนดให้บุคคลอื่นคือ สามี ภริยา บุพการี หรือผู้สืบสันดานของผู้เสียหาย อาจเรียกร้องค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจของตนได้กรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย นอกจากนี้ได้กำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษไว้ในพระราชบัญญัตินี้ด้วย ทั้งนี้ โดยกำหนดเฉพาะกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ประกอบการได้ผลิต นำเข้า หรือขายสินค้าโดยรู้อยู่แล้วว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยหรือมิได้รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเมื่อรู้เช่นนั้นภายหลังการผลิต นำเข้า หรือขายสินค้านั้นแล้ว ไม่ดำเนินการใด ๆ ตามสมควรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย ตลอดจนได้กำหนดจำนวนสูงสุดของค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษไว้เป็นจำนวนไม่เกินสองเท่าของค่าสินไหมทดแทนที่แท้จริงด้วย
12. อายุความ กำหนดหลักการเกี่ยวกับอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้องกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้นโดยผลของการสะสมอยู่ในร่างกายหรือต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ โดยกำหนดให้ผู้เสียหายต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในสามปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบการที่ต้องรับผิด แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย แม้ว่าอายุความดังกล่าวจะมีระยะเวลานานกว่าอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่สอดคล้องกับหลักการตามกฎหมายของต่างประเทศและมีความเหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
13. การสะดุดหยุดอยู่ของอายุความเมื่อมีการเจรจาเกี่ยวกับค่าเสียหาย เพิ่มเติมกรณีถ้ามีการเจรจาเกี่ยวกับค่าเสียหายที่พึงจ่ายระหว่างผู้ประกอบการและผู้เสียหายให้อายุความสะดุดหยุดอยู่ไม่นับในระหว่างนั้นจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้บอกเลิกการเจรจา ซึ่งมีความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการยิ่งกว่าหลักการตามร่างมาตรา 11 เดิม ที่กำหนดให้อายุความสะดุดหยุดลง อันจะทำให้ความรับผิดของผู้ประกอบการต้องขยายออกไป เนื่องจากเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุด จะเริ่มนับอายุความใหม่
14. สิทธิของผู้เสียหายตามกฎหมายอื่น ได้กำหนดเพิ่มเติมว่า พระราชบัญญัตินี้ไม่เป็นการตัดสิทธิของผู้เสียหายที่จะเรียกค่าเสียหายโดยอาศัยสิทธิตามกฎหมายอื่น ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ
15. สินค้าที่ขายอยู่ก่อน กำหนดให้สินค้าใดที่ได้ขายแก่ผู้บริโภคก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับไม่อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัตินี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 23 มีนาคม 2547--จบ--
-กภ-
ร่างพระราชบัญญัตินี้บัญญัติขึ้นโดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภค โดยผู้บริโภคไม่ต้องพิสูจน์ถึงความไม่ปลอดภัยของสินค้า ตลอดจนความจงใจหรือประมาทเลินเล่อในการกระทำผิดของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าแต่เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สมควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลเพื่อสะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายปัจจุบันยังไม่สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างพอเพียง จึงต้องบัญญัติกฎหมายขึ้นใหม่ และกำหนดให้ร่างพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษานั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มีเวลาที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สินค้าของตนมีมาตรฐานมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายก็สามารถฟ้องคดีตามกฎหมายละเมิดที่มีอยู่ในปัจจุบันได้
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ชื่อร่างพระราชบัญญัติ ได้แก้ไขชื่อร่างเป็น "ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. …."
2. วันใช้บังคับ ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
3. กรณีมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติเรื่องเดียวกับพระราชบัญญัตินี้ ได้กำหนดให้กรณีที่มีกฎหมายอื่นบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าไว้เป็นการเฉพาะ ซึ่งให้ความคุ้มครองผู้เสียหายมากกว่าพระราชบัญญัตินี้ ก็ให้บังคับตามกฎหมายนั้น
4. กำหนดบทนิยาม
4.1 "สินค้า" ให้หมายความว่า สังหาริมทรัพย์ทุกชนิดที่ผลิตหรือนำเข้าเพื่อขาย และให้หมายความรวมถึง กระแสไฟฟ้าและผลิตผลเกษตรกรรมที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการผลิตด้วย ทั้งนี้ เพื่อขยายขอบเขตการให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภคและสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ รวมทั้งให้มีการกำหนดยกเว้นสินค้าซึ่งจะไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติ โดยให้ตราเป็นกฎกระทรวง
4.2 "สินค้าที่ไม่ปลอดภัย" กำหนดไว้เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายและสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ รวมทั้งเพื่อมิให้ผู้ใช้กฎหมายเกิดความสับสนกับคำว่า "สินค้าที่ชำรุดบกพร่อง"ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
4.3 "ความเสียหาย" หมายความถึง ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ อนามัย จิตใจ หรือทรัพย์สิน แต่ไม่รวมถึงสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ อีกทั้งยังทำให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย
4.4 "ความเสียหายต่อจิตใจ" กำหนดให้ศาลสามารถกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายต่อจิตใจได้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย อนึ่ง แม้ว่าในทางปฏิบัติ ศาลคดีแพ่งไม่เคยพิพากษาให้ค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจตามคำขอของผู้เสียหายแต่อย่างใด โดยกล่าวอ้างว่าไม่มีกฎหมายให้อำนาจเรียกค่าเสียหายดังกล่าวไว้ และทำให้มาตรานี้ขาดความศักดิ์สิทธิ์ในทางปฏิบัติไปอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงกำหนดให้ชัดเจนในพระราชบัญญัตินี้ว่าให้ศาลสามารถกำหนดค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายต่อจิตใจได้
5. ความรับผิดร่วมกันของผู้ประกอบการ กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบการทุกคนต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้เสียหายในความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย และสินค้านั้นได้มีการขายให้แก่ผู้บริโภคแล้ว ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้ประกอบการหรือไม่ก็ตาม ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ
6. ภาระการพิสูจน์ ได้กำหนดให้ผู้เสียหายหรือผู้มีสิทธิฟ้องคดีแทนตามมาตรา 10 ต้องพิสูจน์ว่าผู้เสียหายได้รับความเสียหายจากสินค้าของผู้ประกอบการ และการใช้หรือการเก็บรักษาสินค้านั้นเป็นไปตามปกติธรรมดาแต่ไม่ต้องพิสูจน์ว่าความเสียหายเกิดจากการกระทำของผู้ประกอบการผู้ใด
7. เหตุหลุดพ้นความรับผิด ได้แก้ไขเพิ่มเติมเหตุหลุดพ้นความรับผิดของผู้ประกอบการตามที่กำหนดไว้ในร่างมาตรา 7 เดิมบางประการ และได้กำหนดเหตุหลุดพ้นความรับผิดเพิ่มเติมขึ้นใหม่ ได้แก่ กรณีผู้เสียหายได้รู้อยู่แล้วว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย และกรณีความเสียหายเกิดขึ้นจากการที่ผู้เสียหายเก็บรักษาสินค้าไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นหลักปกติทั่วไปของเหตุยกเว้นความรับผิดทางละเมิด
8. ข้อยกเว้นความรับผิดของผู้ผลิตตามคำสั่งของผู้ว่าจ้างให้ผลิต กำหนดให้ผู้ผลิตตามคำสั่งของผู้ว่าจ้างให้ผลิตไม่ต้องรับผิดหากพิสูจน์ได้ว่าความไม่ปลอดภัยของสินค้าเกิดจากการออกแบบของผู้ว่าจ้างให้ผลิตหรือจากการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ว่าจ้างให้ผลิต ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ
9. ข้อตกลงจำกัดหรือยกเว้นความรับผิดของผู้ประกอบการ ได้กำหนดเพิ่มเติมให้ข้อตกลงที่ผู้บริโภคกับผู้ประกอบการได้ทำไว้ล่วงหน้าเพื่อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของผู้ประกอบการ จะนำมายกขึ้นกล่าวอ้างไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ และสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ
10. การฟ้องคดี ได้กำหนดให้สมาคมที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้เสียหายตามพระราชบัญญัตินี้ โดยกำหนดให้สมาคมดังกล่าวได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมเช่นเดียวกับกรณีที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นผู้ดำเนินการ แต่ไม่รวมถึงความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด
11. ค่าเสียหายอื่นนอกจากค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดเพิ่มเติมให้ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อความเสียหายต่อจิตใจได้ เพื่อความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย และเป็นแนวทางแก่ศาลในการพิจารณากำหนดค่าเสียหายประเภทนี้ และได้กำหนดให้บุคคลอื่นคือ สามี ภริยา บุพการี หรือผู้สืบสันดานของผู้เสียหาย อาจเรียกร้องค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจของตนได้กรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย นอกจากนี้ได้กำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษไว้ในพระราชบัญญัตินี้ด้วย ทั้งนี้ โดยกำหนดเฉพาะกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ประกอบการได้ผลิต นำเข้า หรือขายสินค้าโดยรู้อยู่แล้วว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยหรือมิได้รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเมื่อรู้เช่นนั้นภายหลังการผลิต นำเข้า หรือขายสินค้านั้นแล้ว ไม่ดำเนินการใด ๆ ตามสมควรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย ตลอดจนได้กำหนดจำนวนสูงสุดของค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษไว้เป็นจำนวนไม่เกินสองเท่าของค่าสินไหมทดแทนที่แท้จริงด้วย
12. อายุความ กำหนดหลักการเกี่ยวกับอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้องกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้นโดยผลของการสะสมอยู่ในร่างกายหรือต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ โดยกำหนดให้ผู้เสียหายต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในสามปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบการที่ต้องรับผิด แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย แม้ว่าอายุความดังกล่าวจะมีระยะเวลานานกว่าอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่สอดคล้องกับหลักการตามกฎหมายของต่างประเทศและมีความเหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
13. การสะดุดหยุดอยู่ของอายุความเมื่อมีการเจรจาเกี่ยวกับค่าเสียหาย เพิ่มเติมกรณีถ้ามีการเจรจาเกี่ยวกับค่าเสียหายที่พึงจ่ายระหว่างผู้ประกอบการและผู้เสียหายให้อายุความสะดุดหยุดอยู่ไม่นับในระหว่างนั้นจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้บอกเลิกการเจรจา ซึ่งมีความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการยิ่งกว่าหลักการตามร่างมาตรา 11 เดิม ที่กำหนดให้อายุความสะดุดหยุดลง อันจะทำให้ความรับผิดของผู้ประกอบการต้องขยายออกไป เนื่องจากเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุด จะเริ่มนับอายุความใหม่
14. สิทธิของผู้เสียหายตามกฎหมายอื่น ได้กำหนดเพิ่มเติมว่า พระราชบัญญัตินี้ไม่เป็นการตัดสิทธิของผู้เสียหายที่จะเรียกค่าเสียหายโดยอาศัยสิทธิตามกฎหมายอื่น ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศ
15. สินค้าที่ขายอยู่ก่อน กำหนดให้สินค้าใดที่ได้ขายแก่ผู้บริโภคก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับไม่อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัตินี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 23 มีนาคม 2547--จบ--
-กภ-