คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างกรอบแนวคิดและแนวทางการดำเนินงานยุทธศาสตร์แห่งชาติ "รวมพลังสร้างสุขภาพ เพื่อคนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง" ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแล้วมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการ กรอบแนวคิดและแนวทางการดำเนินงานยุทธศาสตร์แห่งชาติ "รวมพลังสร้างสุขภาพ เพื่อคนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง" และกำหนดให้ยุทธศาสตร์แห่งชาติดังกล่าว เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อทุกหน่วยงานจะได้ร่วมถือเป็นแนวทางการดำเนินงานต่อไป
2. อนุมัติหลักการให้ตั้งคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรง เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาตินี้ โดยให้มีศูนย์อำนวยการบริหารยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรงเป็นหน่วยงานรองรับการทำงานของคณะกรรมการบริการยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรงดังกล่าว
กรอบแนวคิดและแนวทางการดำเนินงานยุทธศาสตร์แห่งชาติ "รวมพลังสร้างสุขภาพ เพื่อคนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง"
1. แนวคิดและความเป็นมา
1.1 การมีสุขภาพแข็งแรง (Health) ในความหมายขององค์การอนามัยโลก ครอบคลุมถึงความแข็งแรงของสุขภาพในมิติต่าง ๆ ทั้งทางด้านร่างกาย (Physical Health) จิตใจ (Mental Health)สังคม (Social Health) และปัญญา/จิตวิญญาณ (Spiritual Health) ซึ่งถ้าหากคนไทยมีความแข็งแรงทางสุขภาพครอบคลุมความหมายทั้ง 4 มิตินี้ ย่อมจะสามารถเสริมสร้างให้ประเทศไทยมีความแข็งแรงอย่างแน่นอน
1.2 องค์การอนามัยโลก กำหนดแนวทางสร้างความแข็งแรงทางสุขภาพตามกฎบัตรอ๊อตตาว่า (Ottawa Charter) ไว้ 5 ด้าน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยได้ผลักดันนโยบายและการดำเนินงานต่าง ๆ ตาม Ottawa Charter จนประสบผลสำเร็จและมีความคืบหน้าไปมาก กล่าวคือ
ก. ด้านนโยบายสาธารณสุขเพื่อสุขภาพ (Healthy Public Policy) ได้มีการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ วิชาชีพ และภาคประชาชน ดำเนินการอย่างต่อเนื่องกว่า 2 ทศวรรษ จนประสบความสำเร็จในการผลักดันนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพต่าง ๆ เช่น การรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ การออกกฎหมายเพื่อควบคุมการบริโภคยาสูบ การรณรงค์ลดการบริโภคสุรา การตั้งคณะกรรมการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ การออกกฎหมายเก็บภาษีเหล้าและบุหรี่เพิ่ม เพื่อตั้งเป็นกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) การรณรงค์ลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุบนท้องถนน การขับเคลื่อนกระบวนการสมัชชาสุขภาพและจัดทำร่าง พรบ. สุขภาพแห่งชาติ
ข. ด้านการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ (Healthy Environment) ได้มีการดำเนินงาน "เมืองน่าอยู่" (Healthy City) ที่ยึดหลักการเสริงสร้างศัพยภาพและความเข้มแข็งของประชาชนและทุกภาคส่วนในชุมชนเพื่อนำไปสู่สำนึกความเป็นเจ้าของ (Sense of belonging) สำนึกต่อส่วนรวม (Social conscience) และความร่วมมือ (Participation) อันจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ซึ่งดำเนินงานมานานกว่า 10 ปี
ค. ด้านการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน (Community Strengthening)
- ได้มีการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การสาธารณสุขมูลฐานกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา จนบรรลุเป้าหมายเมื่อปี 2542 และขยายต่อเป็นโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่บูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงหลักอย่างน้อย 6 กระทรวงได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนมีการสร้างระบบอาสาสมัครสาธารณสุขมูลฐานซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกทั่วประเทศ กว่า 8 แสนคน
- ได้มีการขยายตัวของพัฒนาการที่เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงตามปรัชญาของ "เศรษฐกิจพอเพียง" ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่มีหลักการสำคัญ 5 ประการ คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล ความมีระบบภูมิคุ้มกันตนเอง การใช้ความรู้และการมีคุณธรรมจริยธรรม
ง. ด้านการส่งเสริมพัฒนาทักษะส่วนบุคคล (Personal Skill Development)
- ได้มีการผลักดันการปฏิรูปการศึกษาของชาติ และขยายโอกาสทางการศึกษาเพื่อยกระดับการศึกษาของคนในชาติ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
- ได้มีการฟื้นฟูภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย จนเป็นที่รู้จักทั่วโลกในเรื่องการนวดแผนไทย และมีการตั้งกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเพื่อยกระดับความสำคัญในการพัฒนาภูมิปัญญาไทยด้านนี้
จ. ด้านการปรับเปลี่ยนระบบบริการสาธารณสุข (Health Service System Reorientation)
- ได้มีการผลักดันการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตามโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรคของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งนำไปสู่การสร้างหลักประกันให้คนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐานอย่างถ้วนหน้า และมี พรบ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 รองรับการดำเนินงานให้ยั่งยืน
- ผลที่ตามมาจากการประกาศนโยบายสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ก็คือ นโยบายซึ่งเน้น "การสร้างสุขภาพ" นำ "การซ่อมสุขภาพ" โดยรัฐบาลได้ประกาศนโยบายให้ปี พ.ศ. 2545 เป็นปีเริ่มต้นแห่งการรวมพลังสร้างสุขภาพตามกรอบการรณรงค์ 5 อ. ได้แก่ ออกกำลังกาย อาหาร อารมณ์ อนามัยสิ่งแวดล้อม และอโรคยา หรือการลดโรคสำคัญต่าง ๆ ซึ่งมีกิจกรรมระดับชาติในการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใส่ใจการสร้างสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรมไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมรวมพลคนเสื้อเหลือง ที่ประชาชนคนไทยได้ร่วมออกกำลังกายพร้อมกันกว่า 8 ล้านคน และการรณรงค์อาหารปลอดภัย (Food Safety) ที่มีการดำเนินงานอย่างจริงจังในปี 2547 ซึ่งรัฐบาลประกาศ ให้เป็นปีแห่งอาหารปลอดภัย เป็นต้น
1.3 การผลักดันนโยบายสร้างสุขภาพให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับเกียรติจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้เป็นเจ้าภาพการประชุมนานาชาติ การส่งเสริมสุขภาพโลก ครั้งที่ 6 (6th Global Conterence on Health Promotion 2005) ระหว่างวันที่ 7-11 สิงหาคม 2548 ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมดำเนินนโยบายเมืองไทยแข็งแรง (Healthy Thailand) ซึ่งขยายการรณรงค์สร้างสุขภาพตามกรอบ 5 อ. ที่ดำเนินการมาแล้วให้เด่นชัดยิ่งขึ้น โดยได้กำหนดตัวชี้วัดต่าง ๆ และสั่งการให้หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ เพื่อผลักดันกระแสการสร้างสุขภาพของสังคมไทยให้เข้มข้นขึ้น อันจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีการประชุมวิชาการส่งเสริมสุขภาพโลกครั้งที่ 6 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพต่อไป
1.4 การสร้างสุขภาพ ลำพังกระทรวงสาธารณสุขเพียงหน่วยงานเดียว คงไม่สามารถผลักดันนโยบายการสร้าง สุขภาพคนไทยในมิติต่าง ๆ ที่ครอบคลุมเพียงพอ สุขภาพเป็นเรื่องของคนไทย 63 ล้านคน ดังนั้นคนไทยทุกคนจึงมีส่วนสำคัญที่จะส่งผลให้เกิด "เมืองไทยแข็งแรง" ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ จำเป็นต้องประสานความร่วมมือทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน ร่วมผลักดันให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อรัฐบาลจะได้ตั้งคณะกรรมการระดับชาติมารับผิดชอบประสานการทำงาน ตลอดจนบูรณาการแผนงาน และทรัพยากรของหน่วยงานต่าง ๆ ในภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสุขภาพให้เป็นเอกภาพภายใต้กรอบยุทธศาสตร์เดียวกัน
1.5 รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ผลักดันนโยบายสำคัญในระดับที่เป็นวาระแห่งชาติ อันมีผลต่อสร้างความแข็งแรงทางสุขภาพของคนไทย นั่นก็คือ การขจัดความไม่รู้ ความจน และปัญหาความเจ็บป่วย ซึ่งเป็นอุปสรรคที่สำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยได้ดำเนินการอาทิ เช่น นโยบายการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า นโยบายการประกาศสงครามกับยาเสพติด การประกาศสงครามกับความยากจน การปฏิรูปการศึกษาและการขยายโอกาสทางการศึกษา โดยนโยบายเหล่านี้มีส่วนสำคัญต่อการช่วย "แก้ความทุกข์" ของคนไทย ซึ่งถ้าหากได้ผลักดันให้นโยบาย "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand) เป็นนโยบายสำคัญระดับวาระแห่งชาติอีกเรื่องหนึ่ง ก็จะทำให้การพัฒนาประเทศไทยเกิดความสมบูรณ์ครอบคลุมทั้งมิติ
"ร่วมกันแก้ทุกข์" และ "ช่วยกันสร้างสุข" เป็นตัวอย่างความสำเร็จของนโยบายที่สมบูรณ์สามารถนำเสนอต่อที่ประชุม "การส่งเสริมสุขภาพ ครั้งที่ 6" ให้ปี 2548 อันจะมีผลต่อการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมนโยบาย "เมืองไทยแข็งแรง" จะเป็นวิสัยทัศน์ที่เป็นรูปธรรมของสุขภาพคนไทยในทุกมิติ คนไทย 63 ล้านคน เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมืองและเทคโนโลยี เพื่อให้คนไทยเป็นคนแข็งแรง สังคมแข็งแรง เศรษฐกิจแข็งแรง นำไปสู่ "เมืองไทยแข็งแรง"
2. วิสัยทัศน์ "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand) คนไทยอยู่เย็นเป็นสุขทั้งกาย ใจ สังคม และปัญญา/จิตวิญญาณ มีสัมมาอาชีพ มีรายได้ ทำงานด้วยความสุข สามารถดำรงชีพบนพื้นฐานของความพอดีพอประมาณอย่างมีเหตุมีผล ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีครอบครัวอบอุ่น มั่นคง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ชีวิตและทรัพย์สิน เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีสุขภาพแข็งแรง และอายุยืนยาว
3. วัตถุประสงค์ เพื่อระดมศักยภาพของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมกันดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยมีกลไกรับผิดชอบติดตาม และผลักดันการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand)
4. คำประกาศนโยบายและเป้าหมาย "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand)
4.1 ด้านความแข็งแรงของสุขภาพในมิติทางกาย (Physical Health)
- คนไทยที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพในทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกชุมชน ทุกหน่วยงานและสถานประกอบการ
- คนไทยได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จากแหล่งผลิตอาหารที่ปลอดสารพิษปนเปื้อน ตลาดสด ร้านอาหารและแผงลอยจำหน่ายอาหารทุกแห่งได้มาตรฐานสุขอนามัย สถานที่ผลิตอาหารทุกแห่งผ่านเกณฑ์ (Good Manufacturing Practice) GMP
- คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวพร้อมสุขภาพที่แข็งแรง อัตราการป่วยและตายด้วยโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของคนไทยลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคเอดส์ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไข้เลือดออก และโรคเบาหวาน
- คนไทยลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ
- คนไทยมีอัตราการบาดเจ็บและตายด้วยอุบัติเหตุลดน้อยลง
- คนไทยทุกคนมีหลักประกันการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐาน
4.2 ด้านความแข็งแรงของสุขภาพในมิติทางจิตใจ (Mental Health)
- คนไทยมีครอบครัวที่อบอุ่น เด็กและผู้สูงอายุได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัว
- คนไทยมีอัตราการฆ่าตัวตาย ตลอดจนการป่วยด้วยโรคทางจิต ประสาท ลดน้อยลง
- คนไทยมีความฉลาดทางสติปัญญา ( I.Q.) และความฉลาดทางอารมณ์ ( E.Q.) เพิ่มมากขึ้นในระดับที่ต้องไม่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล
4.3 ด้านความแข็งแรงของสุขภาพในมิติทางสังคม (Social Health) และเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy)
- คนไทยมีความปลอดภัยจากอาชญากรรมและความรุนแรง ที่ก่อให้เกิดการประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกายและจิตใจ การประทุษร้ายทางเพศและการประทุษร้ายต่อทรัพย์สิน
- คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียนไม่น้อยกว่า 12 ปี และมีโอกาสเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิตเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและเกิดทักษะทางสุขภาพ (Health Skill) และทักษะการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม ( Lift Skill)
- คนไทยมีสัมมาอาชีพและมีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติสุข
- คนไทยมีที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะ มีน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคเพียงพอ และดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี
4.4 ด้านความแข็งแรงของสุขภาพในมิติทางปัญญา/จิตวิญญาณ (Spiritual Health)
- คนไทยลด ละ เลิกอบายมุขและสิ่งเสพติด
- คนไทยมีความรู้ รัก สามัคคี มีความอาทรเกื้อกูลกัน
- คนไทยมีสติและปัญญาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งรุนแรงต่างๆ ด้วยเหตุผลและด้วยสันติวิธี
- คนไทยยึดมั่นในหลักศาสนธรรมและวัฒนธรรมที่ดีงาม
5. ระยะเวลาการดำเนินงาน เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผล ได้กำหนดระยะเวลาการดำเนินงาน คือ
- ระยะที่ 1 (สิงหาคม 2547-สิงหาคม 2548) เพื่อให้สอดคล้องกับการประชุมนานาชาติ การส่งเสริมสุขภาพโลก ครั้งที่ 6 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
- ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2552) เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลานโยบายต่อสู้เอาชนะความยากจนของรัฐบาล
- ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2552-พ.ศ. 2558) เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals:MDGs) ขององค์การสหประชาชาติ
6. ยุทธศาสตร์ "รวมพลังสร้างสุขภาพ เพื่อคนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง"
6.1 ใช้พื้นที่เป็นฐานบูรณาการทุกภาคส่วน สร้างกระบวนการเรียนรู้ สู่วิถีชุมชน โดยดึงเอาพลังทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชนในพื้นที่ทุกระดับจากชุมชนสู่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด ให้เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการภายใต้กระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน และทำงานอย่างเป็นเอกภาพ เพื่อพัฒนากระบวนการแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาตลอดจนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนในแต่ละพื้นที่ เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ "คนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง"
6.2 เน้นการทำงานที่สถานที่ตั้ง (Setting) และกลุ่มวัย โดนเฉพาะอย่างยิ่งการดึงพลังศักยภาพของเยาวชน พลังสตรี ผู้สูงอายุ ผู้นำศาสนา ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ ชุมชนต่างวัฒนธรรม ผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และเจ้าของสถานประกอบการร่วมกันสร้าง "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand)
6.3 ใช้กลยุทธ์ 7 ประการในการดำเนินงานคือ 1. กลยุทธ์การสร้างการมีส่วนร่วม (Participation Strategy) 2. กลยุทธ์การสื่อสารสาธารณะ (Communication Strategy) 3. กลยุทธ์การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจและการมีสำนึกสาธารณะ (Strengthening and Creating Public Mind Strategy) 4. กลยุทธ์การจัดบริการ (Service Strategy) 5. กลยุทธ์การใช้มาตรการทางสังคม (Social Measure Strategy) 6. กลยุทธ์การพัฒนาวิชาการและการเรียนรู้ (Knowledge and Learning Strategy) 7. กลยุทธ์การบริหารจัดการมุ่งผลสำเร็จ ( Result Based Management Strategy)
7. กลไกการจัดการ เพื่อให้มีกลไกรับผิดชอบการจัดทำแผนแม่บทตลอดจนการติดตามและสนับสนุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์แห่งชาติดังกล่าว จึงเสนอให้
7.1 มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีประกาศให้นโยบาย "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand) เป็นวาระแห่งชาติ
7.2 จัดตั้งคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรง ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหลักที่เกี่ยวข้องเป็นรองประธาน คณะกรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงและหัวหน้าหน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติ และให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการบริหารยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรง เพื่อเป็นโครงสร้างรองรับการทำงานของคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรงดังกล่าว
7.3 ให้กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สนับสนุนงบประมาณการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการบริหารยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรง และรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณที่จำเป็นอย่างเพียงพอแก่กระทรวงต่างๆ สำหรับการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายภายใต้นโยบายและยุทธศาสตร์ "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand )
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 16 พฤศจิกายน 2547--จบ--
-กภ-
1. อนุมัติในหลักการ กรอบแนวคิดและแนวทางการดำเนินงานยุทธศาสตร์แห่งชาติ "รวมพลังสร้างสุขภาพ เพื่อคนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง" และกำหนดให้ยุทธศาสตร์แห่งชาติดังกล่าว เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อทุกหน่วยงานจะได้ร่วมถือเป็นแนวทางการดำเนินงานต่อไป
2. อนุมัติหลักการให้ตั้งคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรง เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาตินี้ โดยให้มีศูนย์อำนวยการบริหารยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรงเป็นหน่วยงานรองรับการทำงานของคณะกรรมการบริการยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรงดังกล่าว
กรอบแนวคิดและแนวทางการดำเนินงานยุทธศาสตร์แห่งชาติ "รวมพลังสร้างสุขภาพ เพื่อคนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง"
1. แนวคิดและความเป็นมา
1.1 การมีสุขภาพแข็งแรง (Health) ในความหมายขององค์การอนามัยโลก ครอบคลุมถึงความแข็งแรงของสุขภาพในมิติต่าง ๆ ทั้งทางด้านร่างกาย (Physical Health) จิตใจ (Mental Health)สังคม (Social Health) และปัญญา/จิตวิญญาณ (Spiritual Health) ซึ่งถ้าหากคนไทยมีความแข็งแรงทางสุขภาพครอบคลุมความหมายทั้ง 4 มิตินี้ ย่อมจะสามารถเสริมสร้างให้ประเทศไทยมีความแข็งแรงอย่างแน่นอน
1.2 องค์การอนามัยโลก กำหนดแนวทางสร้างความแข็งแรงทางสุขภาพตามกฎบัตรอ๊อตตาว่า (Ottawa Charter) ไว้ 5 ด้าน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยได้ผลักดันนโยบายและการดำเนินงานต่าง ๆ ตาม Ottawa Charter จนประสบผลสำเร็จและมีความคืบหน้าไปมาก กล่าวคือ
ก. ด้านนโยบายสาธารณสุขเพื่อสุขภาพ (Healthy Public Policy) ได้มีการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ วิชาชีพ และภาคประชาชน ดำเนินการอย่างต่อเนื่องกว่า 2 ทศวรรษ จนประสบความสำเร็จในการผลักดันนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพต่าง ๆ เช่น การรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ การออกกฎหมายเพื่อควบคุมการบริโภคยาสูบ การรณรงค์ลดการบริโภคสุรา การตั้งคณะกรรมการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ การออกกฎหมายเก็บภาษีเหล้าและบุหรี่เพิ่ม เพื่อตั้งเป็นกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) การรณรงค์ลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุบนท้องถนน การขับเคลื่อนกระบวนการสมัชชาสุขภาพและจัดทำร่าง พรบ. สุขภาพแห่งชาติ
ข. ด้านการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ (Healthy Environment) ได้มีการดำเนินงาน "เมืองน่าอยู่" (Healthy City) ที่ยึดหลักการเสริงสร้างศัพยภาพและความเข้มแข็งของประชาชนและทุกภาคส่วนในชุมชนเพื่อนำไปสู่สำนึกความเป็นเจ้าของ (Sense of belonging) สำนึกต่อส่วนรวม (Social conscience) และความร่วมมือ (Participation) อันจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ซึ่งดำเนินงานมานานกว่า 10 ปี
ค. ด้านการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน (Community Strengthening)
- ได้มีการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การสาธารณสุขมูลฐานกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา จนบรรลุเป้าหมายเมื่อปี 2542 และขยายต่อเป็นโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่บูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงหลักอย่างน้อย 6 กระทรวงได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนมีการสร้างระบบอาสาสมัครสาธารณสุขมูลฐานซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกทั่วประเทศ กว่า 8 แสนคน
- ได้มีการขยายตัวของพัฒนาการที่เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงตามปรัชญาของ "เศรษฐกิจพอเพียง" ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่มีหลักการสำคัญ 5 ประการ คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล ความมีระบบภูมิคุ้มกันตนเอง การใช้ความรู้และการมีคุณธรรมจริยธรรม
ง. ด้านการส่งเสริมพัฒนาทักษะส่วนบุคคล (Personal Skill Development)
- ได้มีการผลักดันการปฏิรูปการศึกษาของชาติ และขยายโอกาสทางการศึกษาเพื่อยกระดับการศึกษาของคนในชาติ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
- ได้มีการฟื้นฟูภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย จนเป็นที่รู้จักทั่วโลกในเรื่องการนวดแผนไทย และมีการตั้งกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเพื่อยกระดับความสำคัญในการพัฒนาภูมิปัญญาไทยด้านนี้
จ. ด้านการปรับเปลี่ยนระบบบริการสาธารณสุข (Health Service System Reorientation)
- ได้มีการผลักดันการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตามโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรคของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งนำไปสู่การสร้างหลักประกันให้คนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐานอย่างถ้วนหน้า และมี พรบ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 รองรับการดำเนินงานให้ยั่งยืน
- ผลที่ตามมาจากการประกาศนโยบายสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ก็คือ นโยบายซึ่งเน้น "การสร้างสุขภาพ" นำ "การซ่อมสุขภาพ" โดยรัฐบาลได้ประกาศนโยบายให้ปี พ.ศ. 2545 เป็นปีเริ่มต้นแห่งการรวมพลังสร้างสุขภาพตามกรอบการรณรงค์ 5 อ. ได้แก่ ออกกำลังกาย อาหาร อารมณ์ อนามัยสิ่งแวดล้อม และอโรคยา หรือการลดโรคสำคัญต่าง ๆ ซึ่งมีกิจกรรมระดับชาติในการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใส่ใจการสร้างสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรมไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมรวมพลคนเสื้อเหลือง ที่ประชาชนคนไทยได้ร่วมออกกำลังกายพร้อมกันกว่า 8 ล้านคน และการรณรงค์อาหารปลอดภัย (Food Safety) ที่มีการดำเนินงานอย่างจริงจังในปี 2547 ซึ่งรัฐบาลประกาศ ให้เป็นปีแห่งอาหารปลอดภัย เป็นต้น
1.3 การผลักดันนโยบายสร้างสุขภาพให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับเกียรติจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้เป็นเจ้าภาพการประชุมนานาชาติ การส่งเสริมสุขภาพโลก ครั้งที่ 6 (6th Global Conterence on Health Promotion 2005) ระหว่างวันที่ 7-11 สิงหาคม 2548 ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมดำเนินนโยบายเมืองไทยแข็งแรง (Healthy Thailand) ซึ่งขยายการรณรงค์สร้างสุขภาพตามกรอบ 5 อ. ที่ดำเนินการมาแล้วให้เด่นชัดยิ่งขึ้น โดยได้กำหนดตัวชี้วัดต่าง ๆ และสั่งการให้หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ เพื่อผลักดันกระแสการสร้างสุขภาพของสังคมไทยให้เข้มข้นขึ้น อันจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีการประชุมวิชาการส่งเสริมสุขภาพโลกครั้งที่ 6 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพต่อไป
1.4 การสร้างสุขภาพ ลำพังกระทรวงสาธารณสุขเพียงหน่วยงานเดียว คงไม่สามารถผลักดันนโยบายการสร้าง สุขภาพคนไทยในมิติต่าง ๆ ที่ครอบคลุมเพียงพอ สุขภาพเป็นเรื่องของคนไทย 63 ล้านคน ดังนั้นคนไทยทุกคนจึงมีส่วนสำคัญที่จะส่งผลให้เกิด "เมืองไทยแข็งแรง" ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ จำเป็นต้องประสานความร่วมมือทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน ร่วมผลักดันให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อรัฐบาลจะได้ตั้งคณะกรรมการระดับชาติมารับผิดชอบประสานการทำงาน ตลอดจนบูรณาการแผนงาน และทรัพยากรของหน่วยงานต่าง ๆ ในภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสุขภาพให้เป็นเอกภาพภายใต้กรอบยุทธศาสตร์เดียวกัน
1.5 รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ผลักดันนโยบายสำคัญในระดับที่เป็นวาระแห่งชาติ อันมีผลต่อสร้างความแข็งแรงทางสุขภาพของคนไทย นั่นก็คือ การขจัดความไม่รู้ ความจน และปัญหาความเจ็บป่วย ซึ่งเป็นอุปสรรคที่สำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยได้ดำเนินการอาทิ เช่น นโยบายการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า นโยบายการประกาศสงครามกับยาเสพติด การประกาศสงครามกับความยากจน การปฏิรูปการศึกษาและการขยายโอกาสทางการศึกษา โดยนโยบายเหล่านี้มีส่วนสำคัญต่อการช่วย "แก้ความทุกข์" ของคนไทย ซึ่งถ้าหากได้ผลักดันให้นโยบาย "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand) เป็นนโยบายสำคัญระดับวาระแห่งชาติอีกเรื่องหนึ่ง ก็จะทำให้การพัฒนาประเทศไทยเกิดความสมบูรณ์ครอบคลุมทั้งมิติ
"ร่วมกันแก้ทุกข์" และ "ช่วยกันสร้างสุข" เป็นตัวอย่างความสำเร็จของนโยบายที่สมบูรณ์สามารถนำเสนอต่อที่ประชุม "การส่งเสริมสุขภาพ ครั้งที่ 6" ให้ปี 2548 อันจะมีผลต่อการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมนโยบาย "เมืองไทยแข็งแรง" จะเป็นวิสัยทัศน์ที่เป็นรูปธรรมของสุขภาพคนไทยในทุกมิติ คนไทย 63 ล้านคน เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมืองและเทคโนโลยี เพื่อให้คนไทยเป็นคนแข็งแรง สังคมแข็งแรง เศรษฐกิจแข็งแรง นำไปสู่ "เมืองไทยแข็งแรง"
2. วิสัยทัศน์ "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand) คนไทยอยู่เย็นเป็นสุขทั้งกาย ใจ สังคม และปัญญา/จิตวิญญาณ มีสัมมาอาชีพ มีรายได้ ทำงานด้วยความสุข สามารถดำรงชีพบนพื้นฐานของความพอดีพอประมาณอย่างมีเหตุมีผล ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีครอบครัวอบอุ่น มั่นคง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ชีวิตและทรัพย์สิน เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีสุขภาพแข็งแรง และอายุยืนยาว
3. วัตถุประสงค์ เพื่อระดมศักยภาพของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมกันดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยมีกลไกรับผิดชอบติดตาม และผลักดันการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand)
4. คำประกาศนโยบายและเป้าหมาย "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand)
4.1 ด้านความแข็งแรงของสุขภาพในมิติทางกาย (Physical Health)
- คนไทยที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพในทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกชุมชน ทุกหน่วยงานและสถานประกอบการ
- คนไทยได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จากแหล่งผลิตอาหารที่ปลอดสารพิษปนเปื้อน ตลาดสด ร้านอาหารและแผงลอยจำหน่ายอาหารทุกแห่งได้มาตรฐานสุขอนามัย สถานที่ผลิตอาหารทุกแห่งผ่านเกณฑ์ (Good Manufacturing Practice) GMP
- คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวพร้อมสุขภาพที่แข็งแรง อัตราการป่วยและตายด้วยโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของคนไทยลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคเอดส์ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไข้เลือดออก และโรคเบาหวาน
- คนไทยลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ
- คนไทยมีอัตราการบาดเจ็บและตายด้วยอุบัติเหตุลดน้อยลง
- คนไทยทุกคนมีหลักประกันการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐาน
4.2 ด้านความแข็งแรงของสุขภาพในมิติทางจิตใจ (Mental Health)
- คนไทยมีครอบครัวที่อบอุ่น เด็กและผู้สูงอายุได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัว
- คนไทยมีอัตราการฆ่าตัวตาย ตลอดจนการป่วยด้วยโรคทางจิต ประสาท ลดน้อยลง
- คนไทยมีความฉลาดทางสติปัญญา ( I.Q.) และความฉลาดทางอารมณ์ ( E.Q.) เพิ่มมากขึ้นในระดับที่ต้องไม่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล
4.3 ด้านความแข็งแรงของสุขภาพในมิติทางสังคม (Social Health) และเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy)
- คนไทยมีความปลอดภัยจากอาชญากรรมและความรุนแรง ที่ก่อให้เกิดการประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกายและจิตใจ การประทุษร้ายทางเพศและการประทุษร้ายต่อทรัพย์สิน
- คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียนไม่น้อยกว่า 12 ปี และมีโอกาสเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิตเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและเกิดทักษะทางสุขภาพ (Health Skill) และทักษะการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม ( Lift Skill)
- คนไทยมีสัมมาอาชีพและมีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติสุข
- คนไทยมีที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะ มีน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคเพียงพอ และดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี
4.4 ด้านความแข็งแรงของสุขภาพในมิติทางปัญญา/จิตวิญญาณ (Spiritual Health)
- คนไทยลด ละ เลิกอบายมุขและสิ่งเสพติด
- คนไทยมีความรู้ รัก สามัคคี มีความอาทรเกื้อกูลกัน
- คนไทยมีสติและปัญญาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งรุนแรงต่างๆ ด้วยเหตุผลและด้วยสันติวิธี
- คนไทยยึดมั่นในหลักศาสนธรรมและวัฒนธรรมที่ดีงาม
5. ระยะเวลาการดำเนินงาน เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผล ได้กำหนดระยะเวลาการดำเนินงาน คือ
- ระยะที่ 1 (สิงหาคม 2547-สิงหาคม 2548) เพื่อให้สอดคล้องกับการประชุมนานาชาติ การส่งเสริมสุขภาพโลก ครั้งที่ 6 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
- ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2552) เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลานโยบายต่อสู้เอาชนะความยากจนของรัฐบาล
- ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2552-พ.ศ. 2558) เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals:MDGs) ขององค์การสหประชาชาติ
6. ยุทธศาสตร์ "รวมพลังสร้างสุขภาพ เพื่อคนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง"
6.1 ใช้พื้นที่เป็นฐานบูรณาการทุกภาคส่วน สร้างกระบวนการเรียนรู้ สู่วิถีชุมชน โดยดึงเอาพลังทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชนในพื้นที่ทุกระดับจากชุมชนสู่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด ให้เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการภายใต้กระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน และทำงานอย่างเป็นเอกภาพ เพื่อพัฒนากระบวนการแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาตลอดจนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนในแต่ละพื้นที่ เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ "คนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง"
6.2 เน้นการทำงานที่สถานที่ตั้ง (Setting) และกลุ่มวัย โดนเฉพาะอย่างยิ่งการดึงพลังศักยภาพของเยาวชน พลังสตรี ผู้สูงอายุ ผู้นำศาสนา ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ ชุมชนต่างวัฒนธรรม ผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และเจ้าของสถานประกอบการร่วมกันสร้าง "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand)
6.3 ใช้กลยุทธ์ 7 ประการในการดำเนินงานคือ 1. กลยุทธ์การสร้างการมีส่วนร่วม (Participation Strategy) 2. กลยุทธ์การสื่อสารสาธารณะ (Communication Strategy) 3. กลยุทธ์การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจและการมีสำนึกสาธารณะ (Strengthening and Creating Public Mind Strategy) 4. กลยุทธ์การจัดบริการ (Service Strategy) 5. กลยุทธ์การใช้มาตรการทางสังคม (Social Measure Strategy) 6. กลยุทธ์การพัฒนาวิชาการและการเรียนรู้ (Knowledge and Learning Strategy) 7. กลยุทธ์การบริหารจัดการมุ่งผลสำเร็จ ( Result Based Management Strategy)
7. กลไกการจัดการ เพื่อให้มีกลไกรับผิดชอบการจัดทำแผนแม่บทตลอดจนการติดตามและสนับสนุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์แห่งชาติดังกล่าว จึงเสนอให้
7.1 มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีประกาศให้นโยบาย "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand) เป็นวาระแห่งชาติ
7.2 จัดตั้งคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรง ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหลักที่เกี่ยวข้องเป็นรองประธาน คณะกรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงและหัวหน้าหน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติ และให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการบริหารยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรง เพื่อเป็นโครงสร้างรองรับการทำงานของคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรงดังกล่าว
7.3 ให้กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สนับสนุนงบประมาณการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการบริหารยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรง และรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณที่จำเป็นอย่างเพียงพอแก่กระทรวงต่างๆ สำหรับการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายภายใต้นโยบายและยุทธศาสตร์ "เมืองไทยแข็งแรง" (Healthy Thailand )
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 16 พฤศจิกายน 2547--จบ--
-กภ-