ทำเนียบรัฐบาล--24 มี.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเกี่ยวกับวิธีถามปากคำเด็กในชั้นสอบสวนและการสืบพยานในชั้นศาล ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ เนื่องจากในปัจจุบันการถามปากคำเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีในฐานะเป็นผู้เสียหายหรือพยานในชั้นสอบสวนและการสืบพยานบุคคลซึ่งเป็นเด็กในชั้นศาลนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดวิธีปฏิบัติไว้เช่นเดียวกับกรณีของผู้ใหญ่ ซึ่งยังไม่เหมาะสมอันเป็นเหตุให้การถามปากคำเด็กส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็ก และส่งผลให้การสอบสวนคลาดเคลื่อน ส่วนการสืบพยานในชั้นศาลนั้น นอกจากเด็กจะต้องเผชิญหน้ากับจำเลยในห้องพิจารณา และตอบคำถามซ้ำกับในชั้นสอบสวนเสมือนหนึ่งต้องตกเป็นเหยื่อซ้ำอีกครั้งหนึ่ง คำถามที่ใช้ถามเด็กยังอาจเป็นคำถามที่ตอกย้ำจิตใจของเด็กซึ่งบอบช้ำให้เลวร้ายยิ่งขึ้น และยังส่งผลให้ข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบพยานคลาดเคลื่อนเช่นกัน นอกจากนั้นในการจดบันทึกคำร้องทุกข์การชันสูตรพลิกศพ การไต่สวนมูลฟ้อง และการพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับเด็กก็อาจจะเกิดผลในลักษณะทำนองเดียวกันได้ ฉะนั้นสมควรแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในเรื่องดังกล่าวให้มีกระบวนการถามปากคำและสืบพยานสำหรับเด็กเป็นพิเศษ เพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และสมควรให้นำวิธีสืบพยานสำหรับเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีในชั้นศาลไปใช้การสืบพยานไว้ก่อนการฟ้องคดีต่อศาลด้วย
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ให้พระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีโอกาสเตรียมความพร้อมทั้งในด้านบุคลากร สถานที่ อุปกรณ์ และงบประมาณ ตลอดจนเตรียมการออกกฎกระทรวงในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
2. ให้นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ที่จะเข้าร่วมถามปากคำเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ในการร้องทุกข์ การสอบสวน การไต่สวนมูลฟ้อง หรือในการพิจารณาคดีที่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีเป็นพยานต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และการจ่ายค่าตอบแทนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
3. กำหนดวิธีการถามปากคำและการบันทึกปากคำเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีในชั้นการสอบสวนซึ่งแยกต่างหากจากการถามปากคำผู้ใหญ่ โดยให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการ เข้าร่วมในการถามปากคำเด็กนั้นด้วย และให้นำวิธีการดังกล่าวไปใช้กับการจดบันทึกคำร้องทุกข์และการไต่สวนมูลฟ้องด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกันทั้งกระบวนการ
4. กำหนดวิธีการสืบพยานในการพิจารณาคดีที่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีเป็นพยานไว้เป็นพิเศษ และให้นำวิธีการดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การไต่สวนสำนวนชันสูตรพลิกศพ การไต่สวนมูลฟ้อง และการสืบพยานในคดีที่พยานเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีด้วย
5. ปรับปรุงเหตุและวิธีการเกี่ยวกับการสืบพยานไว้ก่อนการฟ้องคดีต่อศาล และให้นำวิธีการสืบพยานสำหรับเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีในชั้นศาลไปใช้กับการสืบพยานไว้ก่อนการฟ้องคดีต่อศาลด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 24 มีนาคม 2541--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเกี่ยวกับวิธีถามปากคำเด็กในชั้นสอบสวนและการสืบพยานในชั้นศาล ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ เนื่องจากในปัจจุบันการถามปากคำเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีในฐานะเป็นผู้เสียหายหรือพยานในชั้นสอบสวนและการสืบพยานบุคคลซึ่งเป็นเด็กในชั้นศาลนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดวิธีปฏิบัติไว้เช่นเดียวกับกรณีของผู้ใหญ่ ซึ่งยังไม่เหมาะสมอันเป็นเหตุให้การถามปากคำเด็กส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็ก และส่งผลให้การสอบสวนคลาดเคลื่อน ส่วนการสืบพยานในชั้นศาลนั้น นอกจากเด็กจะต้องเผชิญหน้ากับจำเลยในห้องพิจารณา และตอบคำถามซ้ำกับในชั้นสอบสวนเสมือนหนึ่งต้องตกเป็นเหยื่อซ้ำอีกครั้งหนึ่ง คำถามที่ใช้ถามเด็กยังอาจเป็นคำถามที่ตอกย้ำจิตใจของเด็กซึ่งบอบช้ำให้เลวร้ายยิ่งขึ้น และยังส่งผลให้ข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบพยานคลาดเคลื่อนเช่นกัน นอกจากนั้นในการจดบันทึกคำร้องทุกข์การชันสูตรพลิกศพ การไต่สวนมูลฟ้อง และการพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับเด็กก็อาจจะเกิดผลในลักษณะทำนองเดียวกันได้ ฉะนั้นสมควรแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในเรื่องดังกล่าวให้มีกระบวนการถามปากคำและสืบพยานสำหรับเด็กเป็นพิเศษ เพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และสมควรให้นำวิธีสืบพยานสำหรับเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีในชั้นศาลไปใช้การสืบพยานไว้ก่อนการฟ้องคดีต่อศาลด้วย
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ให้พระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีโอกาสเตรียมความพร้อมทั้งในด้านบุคลากร สถานที่ อุปกรณ์ และงบประมาณ ตลอดจนเตรียมการออกกฎกระทรวงในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
2. ให้นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ที่จะเข้าร่วมถามปากคำเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ในการร้องทุกข์ การสอบสวน การไต่สวนมูลฟ้อง หรือในการพิจารณาคดีที่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีเป็นพยานต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และการจ่ายค่าตอบแทนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
3. กำหนดวิธีการถามปากคำและการบันทึกปากคำเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีในชั้นการสอบสวนซึ่งแยกต่างหากจากการถามปากคำผู้ใหญ่ โดยให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการ เข้าร่วมในการถามปากคำเด็กนั้นด้วย และให้นำวิธีการดังกล่าวไปใช้กับการจดบันทึกคำร้องทุกข์และการไต่สวนมูลฟ้องด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกันทั้งกระบวนการ
4. กำหนดวิธีการสืบพยานในการพิจารณาคดีที่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีเป็นพยานไว้เป็นพิเศษ และให้นำวิธีการดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การไต่สวนสำนวนชันสูตรพลิกศพ การไต่สวนมูลฟ้อง และการสืบพยานในคดีที่พยานเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีด้วย
5. ปรับปรุงเหตุและวิธีการเกี่ยวกับการสืบพยานไว้ก่อนการฟ้องคดีต่อศาล และให้นำวิธีการสืบพยานสำหรับเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีในชั้นศาลไปใช้กับการสืบพยานไว้ก่อนการฟ้องคดีต่อศาลด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 24 มีนาคม 2541--