ทำเนียบรัฐบาล--22 เม.ย.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีรับทราบภาวะการส่งเสริมการลงทุนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2538 และแนวโน้มการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในภาพรวม ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ภาวะการส่งเสริมการลงทุนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2538
1.1 ภาพรวมการลงทุนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปี 2538 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- การลงทุนของภาคเอกชนทั้งระบบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปี 2538 ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งนับได้ว่าสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศ โครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปี 2538 มีจำนวน 151 โครงการ เป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 27,838 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2537 ปรากฏว่าโครงการที่ได้รับอนุมัติจะมีจำนวนลดลงจากปีก่อนเพียงเล็กน้อยประมาณ 8% แต่วงเงินลงทุนของโครงการในปี 2538 จะสูงกว่าปีก่อนเกือบเท่าตัว ทั้งนี้ เพราะมีโครงการขนาดใหญ่และขนาดกลางที่ได้รับการส่งเสริมในปีนี้ค่อนข้างมาก
- การกระจายตัวของแหล่งที่ตั้งอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของปี 2538 ปรากฏว่าโครงการลงทุนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา โดยมีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติ 88 โครงการ เงินลงทุน 20,998 ล้านบาท หรือประมาณ 58% และ 75% ของภาคตามลำดับ รองลงมาได้แก่ จังหวัดขอนแก่น จำนวน 15 โครงการ เงินลงทุน 1,370 ล้านบาท จังหวัดอุดรธานี 7 โครงการ เงินลงทุน 1,457.25 ล้านบาท และกระจายไปยังจังหวัดอื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก 14 จังหวัด จำนวน 41 โครงการ
- ขนาดเงินลงทุนของโครงการที่ได้รับอนุมัติสูงสุดจะเป็นโครงการขนาดกลาง เงินลงทุน 20-100 ล้านบาท จำนวน 64 โครงการ หรือประมาณ 42% ของโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด รองลงมาเป็นโครงการขนาดใหญ่ เงินลงทุนเกินกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 50 โครงการ และเป็นโครงการขนาดเล็ก เงินลงทุนไม่เกิน 20 ล้านบาท จำนวน 37 โครงการ
- โครงสร้างผู้ถือหุ้นของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นไทยทั้งสิ้น จำนวน 91 โครงการ รองลงมา คือ โครงการที่ร่วมทุนระหว่างไทยกับต่างชาติ จำนวน 50 โครงการ และเป็นโครงการที่ชาวต่างชาติถือหุ้นทั้งสิ้นจำนวน 10 โครงการ โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนหรือร่วมทุนมากในภาคนี้ คือ ญี่ปุ่น จำนวน 24 โครงการ ไต้หวัน จำนวน 8 โครงการ อเมริกา 6 โครงการ เป็นต้น
- สัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศทั้งสิ้น จำนวน 99 โครงการ คิดเป็น 66% ของจำนวนโครงการทั้งหมด รองลงมาจะเป็นโครงการผลิต เพื่อส่งออกบางส่วน จำนวน 52 โครงการ
1.2 การลงทุนในจังหวัดนครราชสีมา ขยายผล
- ภาวะการลงทุนในปี 2538 ในจังหวัดนครราชสีมาขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อนโครงการที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในปี 2538 มีจำนวน 88 โครงการเงินลงทุน 20,998 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2537 จะปรากฏว่าจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อยประมาณ 19% แต่วงเงินลงทุนจะสูงกว่าปีก่อนมากถึง 146% เนื่องจากเกิดการขยายตัวของโครงการขนาดใหญ่และขนาดกลางในกิจการผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนยานพาหนะ ผลิตภัณฑ์กระดาษและพลาสติก ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์
- จังหวัดนครราชสีมานับว่าเป็นจังหวัดที่ตั้งของโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนสูงสุดในภาค คิดเป็น 58% ของภาคในแง่จำนวนโครงการ และคิดเป็น 75% ของภาคในแง่วงเงินลงทุน และมีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติเป็นลำดับ 2 ของเขต 3 รองจากจังหวัดระยอง ทั้งนี้เนื่องจากเป็นจังหวัดในเขต 3 ที่มีความใกล้กรุงเทพฯ และท่าเรือน้ำลึกชายฝั่งทะเลตะวันออก รวมทั้งมีความพร้อมด้านสาธารณูปโภคและมีปัจจัยการผลิตในด้านที่ดินและแรงงานเป็นต้น สำหรับประเภทกิจการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมสูงสุดในจังหวัดนครราชสีมา คือ ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอนุปกรณ์ขนส่ง จำนวน 17 โครงการ รองลงมา คือ อุตสาหกรรมผลิตเคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก จำนวน 16 โครงการ อุตสาหกรรมเบา จำนวน 15 โครงการ อุตสาหกรรมเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร จำนวน 13 โครงการ ฯลฯ
1.3 อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีลู่ทางที่ดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก โดยอาศัยความได้เปรียบที่ภูมิภาคนี้มีแรงงานมาก ค่าจ้างต่ำกว่าส่วนกลาง เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ดอกไม้ประดิษฐ์ ทอแห อวน เจียรไนพลอย และเครื่องประดับ เป็นต้น โดยเป็นการย้ายฐานการผลิตจากส่วนกลางมายังฐานแรงงานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- อุตสาหกรรมสนับสนุน (Supporting Industry) ซึ่งปัจจุบันทวีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับ โดยอุตสาหกรรมที่จะสร้างความมั่นคงเชิงเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ในระยะยาว ต้องมาจากฐานอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีอยู่มากมายหลายแขนงในประเทศไทย ซึ่งในอนาคตหากได้รับการพัฒนาและรวมตัวกันได้ย่อมก่อให้เกิดอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ชั้นนำได้อย่างแน่นอน ซึ่งอุตสาหกรรม เหล่านี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนพลาสติก อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนจากวัสดุอื่น ๆ
- อุตสาหกรรมแปรรูปผลิตผลการเกษตร เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นแหล่งเกษตรกรรม เช่น อุตสาหกรรมผัก - ผลไม้กระป๋อง ผลิตภัณฑ์จากข้าว จำพวกแป้ง เส้นก๋วยเตี๋ยว อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นม ซึ่งส่วนหนึ่งสามารถส่งไปขายยังตลาดอินโดจีนได้
- อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ซึ่งจะสามารถใช้เส้นทางสู่ชายฝั่งทะเลตะวันออก การขนส่งทางรถไฟและทางอากาศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก เช่น อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมดอกไม้ประดิษฐ์ ของเด็กเล่น การเจียรไนพลอย อัญมณี และเครื่องประดับ เป็นต้น
2. แนวโน้มการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในภาพรวม
ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้คาดการณ์แนวโน้มการลงทุนโดยการนำนโยบายของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาด้วย ได้แก่ นโยบายส่งเสริมกรลงทุน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ คาดว่าแนวโน้มในระยะยาวจะเป็น ดังนี้
2.1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเป็นฐานการผลิต และฐานการนำเข้าวัตถุดิบที่เชื่อมโยงกับอินโดจีน จีนตอนใต้ และภาคตะวันออกของไทย
2.2 อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและเงินลงทุนสูง จะกระจุกตัวอยู่ในจังหวัดใหญ่ ๆ ของภาค เช่น นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี
2.3 อุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเป็นหลัก เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร ได้แก่ โรงงานเยื่อกระดาษ โรงงานอาหารสัตว์ ผักผลไม้กระป๋อง จะขยายตัวมากขึ้นเป็นอุตสาหกรรมผลิตเพื่อส่งออก
2.4 อุตสาหกรรมผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตร อุตสาหกรรมวิศวการ เช่น โรงงานอุปกรณ์ เครื่องไฟฟ้า เครื่องจักรกล โลหะการ อุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์จะขยายตัวมากขึ้น เพื่อรองรับอุตสาหกรรมประเภทเดียวกันนี้จากอีสเทิร์นซีบอร์ด และเป็นตลาดส่งต่ออินโดจีน
นอกจากนี้ การเพิ่มเขตส่งเสริมพิเศษ ซึ่งลดขนาดกิจการที่ให้การส่งเสริมจาก 1 ล้านบาท เป็น 5 แสนบาท จะทำให้โรงงานขนาดเล็ก เช่น โรงสีข้าว โรงงานมันสำปะหลัง โรงงานผลิตปอ เกิดขึ้นตามจังหวัดในเขตส่งเสริมพิเศษอีกมากมาย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 22 เมษายน 2540--
คณะรัฐมนตรีรับทราบภาวะการส่งเสริมการลงทุนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2538 และแนวโน้มการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในภาพรวม ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ภาวะการส่งเสริมการลงทุนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2538
1.1 ภาพรวมการลงทุนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปี 2538 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- การลงทุนของภาคเอกชนทั้งระบบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปี 2538 ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งนับได้ว่าสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศ โครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปี 2538 มีจำนวน 151 โครงการ เป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 27,838 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2537 ปรากฏว่าโครงการที่ได้รับอนุมัติจะมีจำนวนลดลงจากปีก่อนเพียงเล็กน้อยประมาณ 8% แต่วงเงินลงทุนของโครงการในปี 2538 จะสูงกว่าปีก่อนเกือบเท่าตัว ทั้งนี้ เพราะมีโครงการขนาดใหญ่และขนาดกลางที่ได้รับการส่งเสริมในปีนี้ค่อนข้างมาก
- การกระจายตัวของแหล่งที่ตั้งอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของปี 2538 ปรากฏว่าโครงการลงทุนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา โดยมีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติ 88 โครงการ เงินลงทุน 20,998 ล้านบาท หรือประมาณ 58% และ 75% ของภาคตามลำดับ รองลงมาได้แก่ จังหวัดขอนแก่น จำนวน 15 โครงการ เงินลงทุน 1,370 ล้านบาท จังหวัดอุดรธานี 7 โครงการ เงินลงทุน 1,457.25 ล้านบาท และกระจายไปยังจังหวัดอื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก 14 จังหวัด จำนวน 41 โครงการ
- ขนาดเงินลงทุนของโครงการที่ได้รับอนุมัติสูงสุดจะเป็นโครงการขนาดกลาง เงินลงทุน 20-100 ล้านบาท จำนวน 64 โครงการ หรือประมาณ 42% ของโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด รองลงมาเป็นโครงการขนาดใหญ่ เงินลงทุนเกินกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 50 โครงการ และเป็นโครงการขนาดเล็ก เงินลงทุนไม่เกิน 20 ล้านบาท จำนวน 37 โครงการ
- โครงสร้างผู้ถือหุ้นของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นไทยทั้งสิ้น จำนวน 91 โครงการ รองลงมา คือ โครงการที่ร่วมทุนระหว่างไทยกับต่างชาติ จำนวน 50 โครงการ และเป็นโครงการที่ชาวต่างชาติถือหุ้นทั้งสิ้นจำนวน 10 โครงการ โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนหรือร่วมทุนมากในภาคนี้ คือ ญี่ปุ่น จำนวน 24 โครงการ ไต้หวัน จำนวน 8 โครงการ อเมริกา 6 โครงการ เป็นต้น
- สัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศทั้งสิ้น จำนวน 99 โครงการ คิดเป็น 66% ของจำนวนโครงการทั้งหมด รองลงมาจะเป็นโครงการผลิต เพื่อส่งออกบางส่วน จำนวน 52 โครงการ
1.2 การลงทุนในจังหวัดนครราชสีมา ขยายผล
- ภาวะการลงทุนในปี 2538 ในจังหวัดนครราชสีมาขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อนโครงการที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในปี 2538 มีจำนวน 88 โครงการเงินลงทุน 20,998 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2537 จะปรากฏว่าจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อยประมาณ 19% แต่วงเงินลงทุนจะสูงกว่าปีก่อนมากถึง 146% เนื่องจากเกิดการขยายตัวของโครงการขนาดใหญ่และขนาดกลางในกิจการผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนยานพาหนะ ผลิตภัณฑ์กระดาษและพลาสติก ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์
- จังหวัดนครราชสีมานับว่าเป็นจังหวัดที่ตั้งของโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนสูงสุดในภาค คิดเป็น 58% ของภาคในแง่จำนวนโครงการ และคิดเป็น 75% ของภาคในแง่วงเงินลงทุน และมีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติเป็นลำดับ 2 ของเขต 3 รองจากจังหวัดระยอง ทั้งนี้เนื่องจากเป็นจังหวัดในเขต 3 ที่มีความใกล้กรุงเทพฯ และท่าเรือน้ำลึกชายฝั่งทะเลตะวันออก รวมทั้งมีความพร้อมด้านสาธารณูปโภคและมีปัจจัยการผลิตในด้านที่ดินและแรงงานเป็นต้น สำหรับประเภทกิจการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมสูงสุดในจังหวัดนครราชสีมา คือ ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอนุปกรณ์ขนส่ง จำนวน 17 โครงการ รองลงมา คือ อุตสาหกรรมผลิตเคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก จำนวน 16 โครงการ อุตสาหกรรมเบา จำนวน 15 โครงการ อุตสาหกรรมเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร จำนวน 13 โครงการ ฯลฯ
1.3 อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีลู่ทางที่ดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก โดยอาศัยความได้เปรียบที่ภูมิภาคนี้มีแรงงานมาก ค่าจ้างต่ำกว่าส่วนกลาง เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ดอกไม้ประดิษฐ์ ทอแห อวน เจียรไนพลอย และเครื่องประดับ เป็นต้น โดยเป็นการย้ายฐานการผลิตจากส่วนกลางมายังฐานแรงงานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- อุตสาหกรรมสนับสนุน (Supporting Industry) ซึ่งปัจจุบันทวีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับ โดยอุตสาหกรรมที่จะสร้างความมั่นคงเชิงเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ในระยะยาว ต้องมาจากฐานอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีอยู่มากมายหลายแขนงในประเทศไทย ซึ่งในอนาคตหากได้รับการพัฒนาและรวมตัวกันได้ย่อมก่อให้เกิดอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ชั้นนำได้อย่างแน่นอน ซึ่งอุตสาหกรรม เหล่านี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนพลาสติก อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนจากวัสดุอื่น ๆ
- อุตสาหกรรมแปรรูปผลิตผลการเกษตร เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นแหล่งเกษตรกรรม เช่น อุตสาหกรรมผัก - ผลไม้กระป๋อง ผลิตภัณฑ์จากข้าว จำพวกแป้ง เส้นก๋วยเตี๋ยว อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นม ซึ่งส่วนหนึ่งสามารถส่งไปขายยังตลาดอินโดจีนได้
- อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ซึ่งจะสามารถใช้เส้นทางสู่ชายฝั่งทะเลตะวันออก การขนส่งทางรถไฟและทางอากาศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก เช่น อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมดอกไม้ประดิษฐ์ ของเด็กเล่น การเจียรไนพลอย อัญมณี และเครื่องประดับ เป็นต้น
2. แนวโน้มการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในภาพรวม
ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้คาดการณ์แนวโน้มการลงทุนโดยการนำนโยบายของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาด้วย ได้แก่ นโยบายส่งเสริมกรลงทุน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ คาดว่าแนวโน้มในระยะยาวจะเป็น ดังนี้
2.1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเป็นฐานการผลิต และฐานการนำเข้าวัตถุดิบที่เชื่อมโยงกับอินโดจีน จีนตอนใต้ และภาคตะวันออกของไทย
2.2 อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและเงินลงทุนสูง จะกระจุกตัวอยู่ในจังหวัดใหญ่ ๆ ของภาค เช่น นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี
2.3 อุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเป็นหลัก เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร ได้แก่ โรงงานเยื่อกระดาษ โรงงานอาหารสัตว์ ผักผลไม้กระป๋อง จะขยายตัวมากขึ้นเป็นอุตสาหกรรมผลิตเพื่อส่งออก
2.4 อุตสาหกรรมผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตร อุตสาหกรรมวิศวการ เช่น โรงงานอุปกรณ์ เครื่องไฟฟ้า เครื่องจักรกล โลหะการ อุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์จะขยายตัวมากขึ้น เพื่อรองรับอุตสาหกรรมประเภทเดียวกันนี้จากอีสเทิร์นซีบอร์ด และเป็นตลาดส่งต่ออินโดจีน
นอกจากนี้ การเพิ่มเขตส่งเสริมพิเศษ ซึ่งลดขนาดกิจการที่ให้การส่งเสริมจาก 1 ล้านบาท เป็น 5 แสนบาท จะทำให้โรงงานขนาดเล็ก เช่น โรงสีข้าว โรงงานมันสำปะหลัง โรงงานผลิตปอ เกิดขึ้นตามจังหวัดในเขตส่งเสริมพิเศษอีกมากมาย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 22 เมษายน 2540--