ทำเนียบรัฐบาล--29 ก.ย.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติเรื่อง การปฏิรูประบบบริหารราชการในต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
1. อนุมัติการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารราชการในต่างประเทศโดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานคณะกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นรองประธาน ผู้แทนหน่วยงานเป็นกรรมการจำนวน 7 คน และผู้แทนหน่วยงาน ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นที่ปรึกษาจำนวน 15 คน โดยมีรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่หลักคือพิจารณาและกำกับดูแลการดำเนินมาตรการจัดระบบราชการในต่างประเทศในส่วนของการจัดทำแผนงานรวมของไทยในต่างประเทศ การมีเอกภาพในการบังคับบัญชา และการมีโครงสร้างสำนักงานที่มีเอกภาพตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2541
2. มอบหมายให้สำนักนายกรัฐมนตรีไปแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติราชการของข้าราชการประจำในต่างประเทศ พ.ศ. 2540 ข้อ 14 15 และ 16 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป
3. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามแนวทางการปฏิรูปที่เสนอดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว
ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์และหลักการคือเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยในนานาประเทศ โดยจัดระบบการทำงานให้เป็นเอกภาพอย่างแท้จริง เพื่อให้การใช้ทรัพยากรของประเทศได้ประโยชน์สูงสุด อันจะนำมาซึ่งการใช้งบประมาณและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการปฏิรูประบบบริหารราชการในต่างประเทศเป็นภารกิจต่อเนื่องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2541 โดยมีหลักการพื้นฐาน 3 ประการของการปฏิรูประบบบริหารราชการในต่างประเทศ คือ แผนงานรวมที่เป็นเอกภาพ (unified work plan) โครงสร้างสำนักงานที่เป็นเอกภาพ (unified structure) เอกภาพในการบังคับบัญชาและระบบงาน (unified command) ทั้งนี้ เป้าหมายคือการสร้างวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีมของไทยในต่างประเทศ
สำหรับแผนงานการปฏิรูป ที่ประชุมเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2541 เห็นว่าการปฏิรูปฯ เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องใช้เวลา และดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้มีวิวัฒนาการที่จะนำไปสู่การมีระบบการทำงานที่ลงตัวและเหมาะสมของหน่วยงานในต่างประเทศทั้งหมดในลักษณะทีมประเทศไทย (Team Thailand) ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตัวแทนของประเทศในการรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยในต่างประเทศได้อย่างมีเอกภาพและเป็นที่ยอมรับในชั้นนี้ ที่ประชุมเห็นว่ากระบวนการปฏิรูประบบบริหารราชการในต่างประเทศในช่วงเริ่มแรกควรใช้เวลาประมาณ 2 ปี โดยเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2542 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ในระหว่าง 2 ปีนี้ จะได้มีการประมวลและประเมินผลการดำเนินการเป็นระยะ ๆ เพื่อพิจารณาปรับปรุงมาตรการและวางรูปแบบการทำงานที่เป็นเอกภาพของทีมประเทศไทยในต่างประเทศที่แท้จริงต่อไป รายละเอียดของกระบวนการปฏิรูปฯ ดังกล่าว มีดังนี้
1. มาตรการในช่วงเริ่มแรก
เป้าหมาย คือการวางระบบการทำงานที่เน้นประสานงานอย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพโดยเพิ่มบทบาทของหัวหน้าคณะผู้แทนในการกำกับดูแลการทำงานระหว่างหน่วยงานในต่างประเทศและการปลูกฝังวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะนำไปสู่การมีทีมประเทศไทย (Team Thailand) ที่มีประสิทธิภาพและเอกภาพอย่างแท้จริง
วิธีการ
ก. จัดตั้งคณะกรรมการบริหารราชการในต่างประเทศ สำหรับในต่างประเทศให้มีทีมประเทศไทยที่ประกอบด้วยข้าราชการทุกฝ่ายที่ประจำการในต่างประเทศ โดยให้หัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูตเป็นหัวหน้าทีม
ข. แก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติราชการของข้าราชการประจำในต่างประเทศ พ.ศ. 2540 เพื่อให้หัวหน้าคณะผู้แทนมีอำนาจในการประสานงานและกำกับราชการหน่วยงานทั้งหมดในต่างประเทศมากขึ้น
ค. พิจารณาวางมาตรการด้านงบประมาณเพื่อสนับสนุนการทำงานในลักษณะทีมประเทศไทย โดยเริ่มจากการกำหนดให้หน่วยงานในต่างปร ะเทศร่วมกันพิจารณามาตรการที่จะใช้งบประมาณปี 2542 ร่วมกันเพื่อให้บังเกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนกำหนดให้ทีมประเทศไทยทั้งในส่วนกลางและต่างประเทศร่วมกันพิจารณาตั้งงบประมาณในปีถัดไป ทั้งนี้ โดยกำหนดให้หัวหน้าคณะผู้แทนในต่างประเทศให้ความเห็นชอบต่อการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายของหน่วยงานในต่างประเทศสำหรับปีงบประมาณ 2543
ง. ให้หน่วยงานที่มีสำนักงานและบุคลากรในต่างประเทศร่วมมือกับคณะกรรมการบริหารราชการในต่างประเทศกำหนดเป้าหมายและแผนงานรวมเพื่อรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยในต่างประเทศ ทั้งนี้ให้ใช้แผนงานรวมดังกล่าวเป็นพื้นฐานของการทำงานและการประสานงานร่วมกันของหน่วยงานทั้งหมดในต่างประเทศ
จ. เสนอแผนการรวมสำนักงานมาอยู่ที่เดียวกัน ตลอดจนศึกษาแนวทางการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างหน่วยงานของไทยในต่างประเทศ โดยให้เริ่มทดลองดำเนินการในสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ รวม 7 แห่ง คือ สอท. ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ กรุงมะนิลา กรุงเฮก กรุงปักกิ่ง กรุงริยาด คูเวต และสกญ. ณ นครกวางโจว และนำผลการดำเนินการมาวางมาตรการที่เหมาะสมเพื่อนำไปดำเนินการในที่อื่น ๆ ต่อไปให้ครบภายในปีงบประมาณ 2544
อนึ่ง ในทุก ๆ 6 เดือน คณะกรรมการบริหารราชการในต่างประเทศจะพิจารณาผลการดำเนินการตามมาตรการข้างต้นโดยอาจประชุมกับผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงและวางรูปแบบและวิธีการทางด้านการบริหารงานบุคคลและงบประมาณที่จะเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเอกภาพของกากรทำงานของทีมประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้น พร้อม ๆ ไปกับการพัฒนาและเพิ่มพูนจิตสำนึกของวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันของข้าราชการทุกฝ่ายในทีมประเทศไทย ตลอดจนกำกับดูแลการปฏิบัติตามแผนงานรวม การประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องและการวางกรอบกฎเกณฑ์ด้านพัสดุ ครุภัณฑ์ในต่างประเทศทั้งงานบริหารอื่น ๆ เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้บังเกิดประโยชน์สูงสุด
2. มาตรการขั้นต่อไปที่จะเริ่มดำเนินการทันทีต่อจากช่วงเริ่มแรก คือ ให้คณะกรรมการบริหารราชการในต่างประเทศร่วมกับทีมประเทศไทยในต่างประเทศประมวลผลการดำเนินการทั้งหมดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณายกร่างพระราช-บัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในต่างประเทศ (Foreign Service Act) ซึ่งเป็นกรอบทางกฎหมายสำหรับการมีระบบการทำงานที่เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง อันเป็นเป้าหมายสุดท้ายของกระบวนการปฏิรูประบบบริหารราชการในต่างประเทศ ทั้งนี้ โดยมอบกระทรวงการต่างประเทศตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิยกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในต่างประเทศ และเสนอให้คณะกรรมการบริหารราชการในต่างประเทศพิจารณาดำเนินการต่อไป
สำหรับการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2541 ในส่วนของการปรับลดบุคลากรและปิดสำนักงานในต่างประเทศ หลายหน่วยงานได้ดำเนินการปิดสำนักงานและปรับลดบุคลากรแล้วย้ายมาอยู่รวมกับสถานเอกอัครราชทูตตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไปบ้างแล้ว สถานะล่าสุดของการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีจากหน่วยงานต่าง ๆ ปรากฎตามตารางแนบท้าย ซึ่งสามารถประเมินในชั้นแรกได้ว่าการปรับลดบุคลากรในต่างประเทศของหน่วยงานต่าง ๆ ในปีงบประมาณ 2541 รวมทั้งการงดส่งบุคลากรของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานอื่นในปีงบประมาณ 2542 สามารถประหยัดงบประมาณได้ 900 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการปิดสำนักงานลง 64 แห่ง และลดจำนวนลูกจ้างชั่วคราวลงอีกร้อยละ 22.5 ซึ่งประหยัดงบประมาณได้อีกส่วนหนึ่งด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 29 กันยายน 2541--
คณะรัฐมนตรีอนุมัติเรื่อง การปฏิรูประบบบริหารราชการในต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
1. อนุมัติการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารราชการในต่างประเทศโดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานคณะกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นรองประธาน ผู้แทนหน่วยงานเป็นกรรมการจำนวน 7 คน และผู้แทนหน่วยงาน ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นที่ปรึกษาจำนวน 15 คน โดยมีรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่หลักคือพิจารณาและกำกับดูแลการดำเนินมาตรการจัดระบบราชการในต่างประเทศในส่วนของการจัดทำแผนงานรวมของไทยในต่างประเทศ การมีเอกภาพในการบังคับบัญชา และการมีโครงสร้างสำนักงานที่มีเอกภาพตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2541
2. มอบหมายให้สำนักนายกรัฐมนตรีไปแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติราชการของข้าราชการประจำในต่างประเทศ พ.ศ. 2540 ข้อ 14 15 และ 16 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป
3. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามแนวทางการปฏิรูปที่เสนอดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว
ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์และหลักการคือเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยในนานาประเทศ โดยจัดระบบการทำงานให้เป็นเอกภาพอย่างแท้จริง เพื่อให้การใช้ทรัพยากรของประเทศได้ประโยชน์สูงสุด อันจะนำมาซึ่งการใช้งบประมาณและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการปฏิรูประบบบริหารราชการในต่างประเทศเป็นภารกิจต่อเนื่องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2541 โดยมีหลักการพื้นฐาน 3 ประการของการปฏิรูประบบบริหารราชการในต่างประเทศ คือ แผนงานรวมที่เป็นเอกภาพ (unified work plan) โครงสร้างสำนักงานที่เป็นเอกภาพ (unified structure) เอกภาพในการบังคับบัญชาและระบบงาน (unified command) ทั้งนี้ เป้าหมายคือการสร้างวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีมของไทยในต่างประเทศ
สำหรับแผนงานการปฏิรูป ที่ประชุมเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2541 เห็นว่าการปฏิรูปฯ เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องใช้เวลา และดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้มีวิวัฒนาการที่จะนำไปสู่การมีระบบการทำงานที่ลงตัวและเหมาะสมของหน่วยงานในต่างประเทศทั้งหมดในลักษณะทีมประเทศไทย (Team Thailand) ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตัวแทนของประเทศในการรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยในต่างประเทศได้อย่างมีเอกภาพและเป็นที่ยอมรับในชั้นนี้ ที่ประชุมเห็นว่ากระบวนการปฏิรูประบบบริหารราชการในต่างประเทศในช่วงเริ่มแรกควรใช้เวลาประมาณ 2 ปี โดยเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2542 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ในระหว่าง 2 ปีนี้ จะได้มีการประมวลและประเมินผลการดำเนินการเป็นระยะ ๆ เพื่อพิจารณาปรับปรุงมาตรการและวางรูปแบบการทำงานที่เป็นเอกภาพของทีมประเทศไทยในต่างประเทศที่แท้จริงต่อไป รายละเอียดของกระบวนการปฏิรูปฯ ดังกล่าว มีดังนี้
1. มาตรการในช่วงเริ่มแรก
เป้าหมาย คือการวางระบบการทำงานที่เน้นประสานงานอย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพโดยเพิ่มบทบาทของหัวหน้าคณะผู้แทนในการกำกับดูแลการทำงานระหว่างหน่วยงานในต่างประเทศและการปลูกฝังวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะนำไปสู่การมีทีมประเทศไทย (Team Thailand) ที่มีประสิทธิภาพและเอกภาพอย่างแท้จริง
วิธีการ
ก. จัดตั้งคณะกรรมการบริหารราชการในต่างประเทศ สำหรับในต่างประเทศให้มีทีมประเทศไทยที่ประกอบด้วยข้าราชการทุกฝ่ายที่ประจำการในต่างประเทศ โดยให้หัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูตเป็นหัวหน้าทีม
ข. แก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติราชการของข้าราชการประจำในต่างประเทศ พ.ศ. 2540 เพื่อให้หัวหน้าคณะผู้แทนมีอำนาจในการประสานงานและกำกับราชการหน่วยงานทั้งหมดในต่างประเทศมากขึ้น
ค. พิจารณาวางมาตรการด้านงบประมาณเพื่อสนับสนุนการทำงานในลักษณะทีมประเทศไทย โดยเริ่มจากการกำหนดให้หน่วยงานในต่างปร ะเทศร่วมกันพิจารณามาตรการที่จะใช้งบประมาณปี 2542 ร่วมกันเพื่อให้บังเกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนกำหนดให้ทีมประเทศไทยทั้งในส่วนกลางและต่างประเทศร่วมกันพิจารณาตั้งงบประมาณในปีถัดไป ทั้งนี้ โดยกำหนดให้หัวหน้าคณะผู้แทนในต่างประเทศให้ความเห็นชอบต่อการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายของหน่วยงานในต่างประเทศสำหรับปีงบประมาณ 2543
ง. ให้หน่วยงานที่มีสำนักงานและบุคลากรในต่างประเทศร่วมมือกับคณะกรรมการบริหารราชการในต่างประเทศกำหนดเป้าหมายและแผนงานรวมเพื่อรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยในต่างประเทศ ทั้งนี้ให้ใช้แผนงานรวมดังกล่าวเป็นพื้นฐานของการทำงานและการประสานงานร่วมกันของหน่วยงานทั้งหมดในต่างประเทศ
จ. เสนอแผนการรวมสำนักงานมาอยู่ที่เดียวกัน ตลอดจนศึกษาแนวทางการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างหน่วยงานของไทยในต่างประเทศ โดยให้เริ่มทดลองดำเนินการในสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ รวม 7 แห่ง คือ สอท. ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ กรุงมะนิลา กรุงเฮก กรุงปักกิ่ง กรุงริยาด คูเวต และสกญ. ณ นครกวางโจว และนำผลการดำเนินการมาวางมาตรการที่เหมาะสมเพื่อนำไปดำเนินการในที่อื่น ๆ ต่อไปให้ครบภายในปีงบประมาณ 2544
อนึ่ง ในทุก ๆ 6 เดือน คณะกรรมการบริหารราชการในต่างประเทศจะพิจารณาผลการดำเนินการตามมาตรการข้างต้นโดยอาจประชุมกับผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงและวางรูปแบบและวิธีการทางด้านการบริหารงานบุคคลและงบประมาณที่จะเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเอกภาพของกากรทำงานของทีมประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้น พร้อม ๆ ไปกับการพัฒนาและเพิ่มพูนจิตสำนึกของวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันของข้าราชการทุกฝ่ายในทีมประเทศไทย ตลอดจนกำกับดูแลการปฏิบัติตามแผนงานรวม การประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องและการวางกรอบกฎเกณฑ์ด้านพัสดุ ครุภัณฑ์ในต่างประเทศทั้งงานบริหารอื่น ๆ เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้บังเกิดประโยชน์สูงสุด
2. มาตรการขั้นต่อไปที่จะเริ่มดำเนินการทันทีต่อจากช่วงเริ่มแรก คือ ให้คณะกรรมการบริหารราชการในต่างประเทศร่วมกับทีมประเทศไทยในต่างประเทศประมวลผลการดำเนินการทั้งหมดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณายกร่างพระราช-บัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในต่างประเทศ (Foreign Service Act) ซึ่งเป็นกรอบทางกฎหมายสำหรับการมีระบบการทำงานที่เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง อันเป็นเป้าหมายสุดท้ายของกระบวนการปฏิรูประบบบริหารราชการในต่างประเทศ ทั้งนี้ โดยมอบกระทรวงการต่างประเทศตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิยกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในต่างประเทศ และเสนอให้คณะกรรมการบริหารราชการในต่างประเทศพิจารณาดำเนินการต่อไป
สำหรับการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2541 ในส่วนของการปรับลดบุคลากรและปิดสำนักงานในต่างประเทศ หลายหน่วยงานได้ดำเนินการปิดสำนักงานและปรับลดบุคลากรแล้วย้ายมาอยู่รวมกับสถานเอกอัครราชทูตตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไปบ้างแล้ว สถานะล่าสุดของการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีจากหน่วยงานต่าง ๆ ปรากฎตามตารางแนบท้าย ซึ่งสามารถประเมินในชั้นแรกได้ว่าการปรับลดบุคลากรในต่างประเทศของหน่วยงานต่าง ๆ ในปีงบประมาณ 2541 รวมทั้งการงดส่งบุคลากรของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานอื่นในปีงบประมาณ 2542 สามารถประหยัดงบประมาณได้ 900 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการปิดสำนักงานลง 64 แห่ง และลดจำนวนลูกจ้างชั่วคราวลงอีกร้อยละ 22.5 ซึ่งประหยัดงบประมาณได้อีกส่วนหนึ่งด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 29 กันยายน 2541--