ทำเนียบรัฐบาล--12 ก.พ.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีรับทราบ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้รายงานการพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาการค้าและอุตสาหกรรมไทยให้เป็นเลิศในภูมิภาค โดยมีข้อเสนอและแนวทางการพัฒนาดังนี้
1. กำหนดนโยบายแห่งชาติ (National Policy) เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมประเภทใดประเภทหนึ่งที่มีศักยภาพและมีความสำคัญในลำดับต้น โดยจัดตั้งเป็นคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายและติดตามแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย รัฐจะต้องดำเนินการดังนี้
1.1 การลดต้นทุนการผลิต ประกอบด้วยการจัดทำวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนให้เพียงพอกับความต้องการและมีต้นทุนต่ำในส่วนของภาครัฐก็จะต้องปรับปรุงการให้บริการของภาครัฐ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของภาคเอกชน เช่น การลดขั้นตอนการจดทะเบียน การอนุญาต และการให้บริการของหน่วยงานต่าง ๆ ให้เหลือเฉพาะที่จำเป็น
1.2 เงินทุน ผลักดันให้ธนาคารสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเนื่องและประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้นักลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนในไทย
1.3 ด้านการตลาดและการส่งออก ส่งเสริมการส่งออกและหาตลาดในต่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของตลาดและการส่งออก รัฐควรส่งเสริมและพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค
1.4 การพัฒนากระบวนการการผลิตให้ได้มาตรฐานสากล ประกอบด้วย การสนับสนุนให้สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมเฉพาะอย่าง การสร้างปัจจัยจูงใจให้มีการผลิตสินค้าตามมาตรฐานสากลมากขึ้น การพัฒนาความรู้เกี่ยวกับระบบมาตรฐานสากล การพัฒนาระบบการทดสอบและรับรองมาตรฐานสากล
1.5 การพัฒนากำลังคน ส่งเสริมสถาบันการศึกษาทั้งระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา ในการพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมและสนับสนุนให้มีการจัดฝึกอบรมความรู้ความชำนาญแก่กำลังคนในอุตสาหกรรมให้กว้างขวางขึ้น
1.6 การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา สนับสนุนให้มีการตรวจสอบ ติดตาม และรวบรวมผลการวิจัยและพัฒนาของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อการเผยแพร่แก่ภาคเอกชน และให้ทำการเผยแพร่ผลการวิจัยอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
2. การเพิ่มมูลค่าของสินค้า (Value Added) การรักษาความเป็นเลิศของอุตสาหกรรมที่กำหนดให้ครองตลาดยาวนานจำเป็นที่จะต้องพัฒนาความได้เปรียบ ทั้งในด้านคุณภาพ ราคา ความแปลกใหม่ของสินค้า โดยใช้ยุทธศาสตร์การตลาด ซึ่งต้องเน้นในเรื่องการเพิ่มมูลค่าของสินค้าโดยผลิตสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพื่อพร้อมรับการแข่งขัน และต้นทุนการผลิตในประเทศอันได้แก่ ค่าแรงซึ่งเพิ่มขึ้นตลอดเวลา นอกจากนั้น จะต้องส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้เทคนิคการผลิต และเทคนิคการบริหารจัดการที่ทันสมัย รวมทั้งสนับสนุนและให้การจูงใจให้มีการวิจัยและพัฒนาโดยปรับมาตรการต่าง ๆ ให้ชัดเจนและเอื้อต่อการส่งเสริม
3. การสร้างภาพลักษณ์ของสินค้า (Brand Name) การให้ผู้ซื้อยึดติดในภาพลักษณ์ของสินค้าไทยเพื่อคงความอยู่รอด โดยการสร้างภาพลักษณ์ของชื่อสินค้า จะช่วยเพิ่มมูลค่าได้อีกส่วนหนึ่ง รัฐควรส่งเสริมให้ภาคเอกชนและหน่วยงาน จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ในสินค้าที่ผลิตได้ซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นที่ต้องการของตลาด และให้สิทธิพิเศษเกี่ยวกับการขออนุญาตหรือการรับรองการส่งออกสินค้า Brand Name ของภาคเอกชน รวมทั้งให้การสนับสนุนประชาสัมพันธ์สินค้าไทยในโอกาสต่าง ๆ และปกป้องรักษาผลประโยชน์ทางการค้าในกรณีที่มีการละเมิด Brand Name ของสินค้าไทยในต่างประเทศ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2541--
คณะรัฐมนตรีรับทราบ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้รายงานการพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาการค้าและอุตสาหกรรมไทยให้เป็นเลิศในภูมิภาค โดยมีข้อเสนอและแนวทางการพัฒนาดังนี้
1. กำหนดนโยบายแห่งชาติ (National Policy) เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมประเภทใดประเภทหนึ่งที่มีศักยภาพและมีความสำคัญในลำดับต้น โดยจัดตั้งเป็นคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายและติดตามแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย รัฐจะต้องดำเนินการดังนี้
1.1 การลดต้นทุนการผลิต ประกอบด้วยการจัดทำวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนให้เพียงพอกับความต้องการและมีต้นทุนต่ำในส่วนของภาครัฐก็จะต้องปรับปรุงการให้บริการของภาครัฐ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของภาคเอกชน เช่น การลดขั้นตอนการจดทะเบียน การอนุญาต และการให้บริการของหน่วยงานต่าง ๆ ให้เหลือเฉพาะที่จำเป็น
1.2 เงินทุน ผลักดันให้ธนาคารสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเนื่องและประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้นักลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนในไทย
1.3 ด้านการตลาดและการส่งออก ส่งเสริมการส่งออกและหาตลาดในต่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของตลาดและการส่งออก รัฐควรส่งเสริมและพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค
1.4 การพัฒนากระบวนการการผลิตให้ได้มาตรฐานสากล ประกอบด้วย การสนับสนุนให้สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมเฉพาะอย่าง การสร้างปัจจัยจูงใจให้มีการผลิตสินค้าตามมาตรฐานสากลมากขึ้น การพัฒนาความรู้เกี่ยวกับระบบมาตรฐานสากล การพัฒนาระบบการทดสอบและรับรองมาตรฐานสากล
1.5 การพัฒนากำลังคน ส่งเสริมสถาบันการศึกษาทั้งระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา ในการพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมและสนับสนุนให้มีการจัดฝึกอบรมความรู้ความชำนาญแก่กำลังคนในอุตสาหกรรมให้กว้างขวางขึ้น
1.6 การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา สนับสนุนให้มีการตรวจสอบ ติดตาม และรวบรวมผลการวิจัยและพัฒนาของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อการเผยแพร่แก่ภาคเอกชน และให้ทำการเผยแพร่ผลการวิจัยอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
2. การเพิ่มมูลค่าของสินค้า (Value Added) การรักษาความเป็นเลิศของอุตสาหกรรมที่กำหนดให้ครองตลาดยาวนานจำเป็นที่จะต้องพัฒนาความได้เปรียบ ทั้งในด้านคุณภาพ ราคา ความแปลกใหม่ของสินค้า โดยใช้ยุทธศาสตร์การตลาด ซึ่งต้องเน้นในเรื่องการเพิ่มมูลค่าของสินค้าโดยผลิตสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพื่อพร้อมรับการแข่งขัน และต้นทุนการผลิตในประเทศอันได้แก่ ค่าแรงซึ่งเพิ่มขึ้นตลอดเวลา นอกจากนั้น จะต้องส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้เทคนิคการผลิต และเทคนิคการบริหารจัดการที่ทันสมัย รวมทั้งสนับสนุนและให้การจูงใจให้มีการวิจัยและพัฒนาโดยปรับมาตรการต่าง ๆ ให้ชัดเจนและเอื้อต่อการส่งเสริม
3. การสร้างภาพลักษณ์ของสินค้า (Brand Name) การให้ผู้ซื้อยึดติดในภาพลักษณ์ของสินค้าไทยเพื่อคงความอยู่รอด โดยการสร้างภาพลักษณ์ของชื่อสินค้า จะช่วยเพิ่มมูลค่าได้อีกส่วนหนึ่ง รัฐควรส่งเสริมให้ภาคเอกชนและหน่วยงาน จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ในสินค้าที่ผลิตได้ซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นที่ต้องการของตลาด และให้สิทธิพิเศษเกี่ยวกับการขออนุญาตหรือการรับรองการส่งออกสินค้า Brand Name ของภาคเอกชน รวมทั้งให้การสนับสนุนประชาสัมพันธ์สินค้าไทยในโอกาสต่าง ๆ และปกป้องรักษาผลประโยชน์ทางการค้าในกรณีที่มีการละเมิด Brand Name ของสินค้าไทยในต่างประเทศ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2541--