ทำเนียบรัฐบาล--1 ก.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่า ดังนี้คือ ร่างบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศสหภาพพม่า และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการตรวจร่างโดยด่วน เพื่อให้สามารถลงนามได้ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2540 ต่อไป และมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ และสามารถลงนามในบันทึกดังกล่าวที่ได้แก้ไข ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รายงานว่า ประเทศสหภาพพม่ามีความประสงค์จะขายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทยทั้งจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง โดยเฉพาะในเรื่องของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งพม่ามีศักยภาพสูงมาก กระทรวงพลังงานสหภาพพม่าได้ประเมินศักยภาพทางเทคนิคของการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำว่าอยู่ในระดับสูงถึง 100,000 เมกะวัตต์ โดยได้ทำการศึกษาเบื้องต้นโครงการต่าง ๆ จำนวน 196 โครงการ รวมกำลังการผลิต 38,000เมกะวัตต์ และโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำที่เข้าข่ายที่จะขายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทยมีหลายโครงการ เช่น
1. เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำกก ขนาดประมาณ 150 เมกะวัตต์ ในขณะนี้อยู่ระหว่างการทำ Feasibility Study โดยกลุ่มผู้ลงทุนอันประกอบด้วย MDX, Ital Thai และ Marubeni
2. เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำฮัทยี ขนาดประมาณ 400 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่บนสำน้ำสาละวินตอนล่าง ซึ่งได้ให้สัมปทานแก่บริษัท Jasmine และ Ital - Thai
3. เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ Baluchaung
4. เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ Thinintharyi
5. เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ Yeywa
6. เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ Bilin ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงว่า ประเทศไทยจะซื้อไฟฟ้าจากโครงการในประเทศสหภาพพม่า รวมทั้งหมด 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) โดยรัฐบาลพม่าจะเป็นผู้คัดเลือกกลุ่มผู้ลงทุน เนื่องจากในช่วงปัจจุบันจนถึงปี ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้เตรียมแหล่งผลิตไฟฟ้าจากแหล่งต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว (จาก IPP, SPP โครงการในลาวและโครงการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเอง) ดังนั้น จึงไม่สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการขนาดใหญ่ในประเทศสหภาพพม่าได้ แต่หากเป็นโครงการขนาดเล็ก (เช่น น้ำกก) ก็น่าจะรับซื้อได้ ทั้งนี้ โครงการขนาดใหญ่จะต้องรอจนปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) เป็นต้นไป ส่วนการวางสายส่งจากประเทศสหภาพพม่ามายังประเทศไทย จะมีปัญหาพอสมควรเพราะจะต้องผ่านพื้นที่ 1A หรือพื้นที่ป่าสงวน/อนุรักษ์อื่น ๆ ดังนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องร่วมกันวางแผนการวางระบบสายส่งอย่างรอบคอบ โดยพยายามให้โครงการต่าง ๆ ในพม่ามีการใช้สายส่งร่วมกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานสหภาพพม่าได้แจ้งว่า ในขณะนี้ทางฝ่ายพม่าพร้อมที่จะพิจารณาและหารือกับรัฐบาลไทยในเรื่องของการผันน้ำให้แก่ประเทศไทยแล้ว โดยในชั้นนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันว่าจะมีการเจราจาในรายละเอียดเพิ่มเติมระหว่างกระทรวงพลังงานสหภาพพม่า กับ สพช. เพื่อจัดทำข้อตกลงการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศพม่าในรูปของ Memorandum of Understanding (MOU) ซึ่งจะมีการลงนามโดยรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ในวันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม 2540 ในโอกาสที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของสหภาพพม่าจะมาเยือนประเทศไทย
อนึ่ง ร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ประเทศไทยจะให้ความร่วมมือ โดยสนับสนุนให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานอื่นที่ได้รับมอบหมาย รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสหภาพพม่าให้ได้ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553)
2. รัฐบาลสหภาพพม่าจะเป็นผู้คัดเลือกผู้ลงทุนสำหรับแต่ละโครงการ โดยจะมีการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับแต่ละโครงการที่มีความเป็นไปได้
3. ทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมมือกันในการวางแผนและก่อสร้างระบบสายส่งระหว่างทั้ง 2 ประเทศ
4. รัฐบาลสหภาพพม่าจะยินยอมให้ผู้ลงทุนไทยมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ
5. จะมีการเจรจาเพื่อจัดทำ MOU อีกฉบับในเรื่องการผันน้ำให้แก่ประเทศไทย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 1 กรกฎาคม 2540--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่า ดังนี้คือ ร่างบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศสหภาพพม่า และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการตรวจร่างโดยด่วน เพื่อให้สามารถลงนามได้ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2540 ต่อไป และมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ และสามารถลงนามในบันทึกดังกล่าวที่ได้แก้ไข ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รายงานว่า ประเทศสหภาพพม่ามีความประสงค์จะขายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทยทั้งจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง โดยเฉพาะในเรื่องของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งพม่ามีศักยภาพสูงมาก กระทรวงพลังงานสหภาพพม่าได้ประเมินศักยภาพทางเทคนิคของการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำว่าอยู่ในระดับสูงถึง 100,000 เมกะวัตต์ โดยได้ทำการศึกษาเบื้องต้นโครงการต่าง ๆ จำนวน 196 โครงการ รวมกำลังการผลิต 38,000เมกะวัตต์ และโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำที่เข้าข่ายที่จะขายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทยมีหลายโครงการ เช่น
1. เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำกก ขนาดประมาณ 150 เมกะวัตต์ ในขณะนี้อยู่ระหว่างการทำ Feasibility Study โดยกลุ่มผู้ลงทุนอันประกอบด้วย MDX, Ital Thai และ Marubeni
2. เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำฮัทยี ขนาดประมาณ 400 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่บนสำน้ำสาละวินตอนล่าง ซึ่งได้ให้สัมปทานแก่บริษัท Jasmine และ Ital - Thai
3. เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ Baluchaung
4. เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ Thinintharyi
5. เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ Yeywa
6. เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ Bilin ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงว่า ประเทศไทยจะซื้อไฟฟ้าจากโครงการในประเทศสหภาพพม่า รวมทั้งหมด 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) โดยรัฐบาลพม่าจะเป็นผู้คัดเลือกกลุ่มผู้ลงทุน เนื่องจากในช่วงปัจจุบันจนถึงปี ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้เตรียมแหล่งผลิตไฟฟ้าจากแหล่งต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว (จาก IPP, SPP โครงการในลาวและโครงการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเอง) ดังนั้น จึงไม่สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการขนาดใหญ่ในประเทศสหภาพพม่าได้ แต่หากเป็นโครงการขนาดเล็ก (เช่น น้ำกก) ก็น่าจะรับซื้อได้ ทั้งนี้ โครงการขนาดใหญ่จะต้องรอจนปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) เป็นต้นไป ส่วนการวางสายส่งจากประเทศสหภาพพม่ามายังประเทศไทย จะมีปัญหาพอสมควรเพราะจะต้องผ่านพื้นที่ 1A หรือพื้นที่ป่าสงวน/อนุรักษ์อื่น ๆ ดังนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องร่วมกันวางแผนการวางระบบสายส่งอย่างรอบคอบ โดยพยายามให้โครงการต่าง ๆ ในพม่ามีการใช้สายส่งร่วมกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานสหภาพพม่าได้แจ้งว่า ในขณะนี้ทางฝ่ายพม่าพร้อมที่จะพิจารณาและหารือกับรัฐบาลไทยในเรื่องของการผันน้ำให้แก่ประเทศไทยแล้ว โดยในชั้นนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันว่าจะมีการเจราจาในรายละเอียดเพิ่มเติมระหว่างกระทรวงพลังงานสหภาพพม่า กับ สพช. เพื่อจัดทำข้อตกลงการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศพม่าในรูปของ Memorandum of Understanding (MOU) ซึ่งจะมีการลงนามโดยรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ในวันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม 2540 ในโอกาสที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของสหภาพพม่าจะมาเยือนประเทศไทย
อนึ่ง ร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ประเทศไทยจะให้ความร่วมมือ โดยสนับสนุนให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานอื่นที่ได้รับมอบหมาย รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสหภาพพม่าให้ได้ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553)
2. รัฐบาลสหภาพพม่าจะเป็นผู้คัดเลือกผู้ลงทุนสำหรับแต่ละโครงการ โดยจะมีการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับแต่ละโครงการที่มีความเป็นไปได้
3. ทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมมือกันในการวางแผนและก่อสร้างระบบสายส่งระหว่างทั้ง 2 ประเทศ
4. รัฐบาลสหภาพพม่าจะยินยอมให้ผู้ลงทุนไทยมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ
5. จะมีการเจรจาเพื่อจัดทำ MOU อีกฉบับในเรื่องการผันน้ำให้แก่ประเทศไทย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 1 กรกฎาคม 2540--