ทำเนียบรัฐบาล--1 ก.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการเสริมเพื่อสร้างเสถียรภาพของสถาบันการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2540 กระทรวงการคลังได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 26 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนฯ สั่งการให้บริษัทเงินทุน 16 แห่ง ระงับการดำเนินกิจการชั่วคราวเพื่อให้ยื่นแผนแก้ไขปรับปรุงฐานะนั้น และเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องป้องกันมิให้ประชาชนผู้ฝากเงินมีความตื่นตระหนก และมิให้ปัญหาลุกลามไปยังบริษัทเงินทุนอื่น ๆ ซึ่งหากไม่ระงับปัญหาแต่ต้นมือแล้ว ในที่สุดอาจจะลุกลามไปถึงระบบธนาคารพาณิชย์ได้ อันจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องดำเนินมาตรการเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
1. การเสริมสร้างความเชื่อมมั่นของผู้ฝากเงิน
(1) รัฐบาลควรจะมีการจัดตั้งสถาบันหรือหลักเกณฑ์มาตรฐานการประกันเงินฝาก ภายในระยะเวลา 1 ปี และในระหว่างนี้รัฐบาลจะต้องให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ฝากเงินในระบบบริษัทเงินทุนที่เหลือทั้งระบบว่ามีความปลอดภัยเต็มที่
(2) เพื่อให้ผู้ฝากเงินในระบบบริษัทเงินทุนที่ยังวิตก คลายข้อกังวล กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะขอความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ไทยทุกแห่ง เปิดให้ผู้ฝากเงินในบริษัทเงินทุนต่างๆ สามารถเปลี่ยนตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นบัตรเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ได้
2. การจัดวินัยในการระดมเงินออม
เพื่อแก้ไขปัญหาการแข่งขันการระดมเงินฝากในอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าสมควร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สถาบันการเงินเกิดปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน มีการผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปให้ลูกหนี้ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาลูกหนี้ค้างชำระ และเป็นผลกระทบต่อฐานะการดำเนินงานของสถาบันการเงินในที่สุด ดังนั้น เมื่อทางการได้มีมาตรการที่จะคุ้มครองผู้ฝากเงินแล้วเช่นนี้ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ประกาศกำหนดเพดานเพื่อจะให้ดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินกู้ยืมของสถาบันการเงินทยอยลดต่ำลง โดยในขั้นแรกกำหนดดังนี้
(1) ให้บริษัทเงินทุนจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถามได้ไม่เกินร้อยละ 11 ต่อปี และสำหรับประเภทที่มีระยะเวลาไม่เกินร้อยละ 14 ต่อปี ส่วนกรณีที่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนดให้ลดดอกเบี้ยที่จ่ายลงเหลือไม่เกินร้อยละ 7 ต่อปี
(2) ให้ธนาคารพาณิชย์จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากไม่ว่าประเภทใดได้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี
3. การคุ้มครองผู้ฝากเงินในบริษัทเงินทุนที่หยุดดำเนินกิจการ
เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ถือตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุน 16 ราย ที่กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ระงับดำเนินกิจการชั่วคราวนั้น สำหรับบริษัทเงินทุนรายที่ต่อไปมีการโอนกิจการไปรวมกับสถาบันการเงินแกนของทางการอันได้แก่ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนที่มีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั้น กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขอให้บริษัทดังกล่าวให้สิทธิผู้ฝากเงินที่สุจริตแลกเปลี่ยนตั๋วได้เต็มจำนวนเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้าง
ในการดำเนินการตามแผนการนี้ กระทรวงการคลังจำเป็นจะต้องออกหนังสือให้แก่ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) เพื่อยืนยันมิให้สถาบันการเงินที่เข้ามารับแลกเปลี่ยนตั๋วโดยสุจริตครั้งนี้ได้รับความเสียหาย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 1 กรกฎาคม 2540--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการเสริมเพื่อสร้างเสถียรภาพของสถาบันการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2540 กระทรวงการคลังได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 26 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนฯ สั่งการให้บริษัทเงินทุน 16 แห่ง ระงับการดำเนินกิจการชั่วคราวเพื่อให้ยื่นแผนแก้ไขปรับปรุงฐานะนั้น และเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องป้องกันมิให้ประชาชนผู้ฝากเงินมีความตื่นตระหนก และมิให้ปัญหาลุกลามไปยังบริษัทเงินทุนอื่น ๆ ซึ่งหากไม่ระงับปัญหาแต่ต้นมือแล้ว ในที่สุดอาจจะลุกลามไปถึงระบบธนาคารพาณิชย์ได้ อันจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องดำเนินมาตรการเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
1. การเสริมสร้างความเชื่อมมั่นของผู้ฝากเงิน
(1) รัฐบาลควรจะมีการจัดตั้งสถาบันหรือหลักเกณฑ์มาตรฐานการประกันเงินฝาก ภายในระยะเวลา 1 ปี และในระหว่างนี้รัฐบาลจะต้องให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ฝากเงินในระบบบริษัทเงินทุนที่เหลือทั้งระบบว่ามีความปลอดภัยเต็มที่
(2) เพื่อให้ผู้ฝากเงินในระบบบริษัทเงินทุนที่ยังวิตก คลายข้อกังวล กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะขอความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ไทยทุกแห่ง เปิดให้ผู้ฝากเงินในบริษัทเงินทุนต่างๆ สามารถเปลี่ยนตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นบัตรเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ได้
2. การจัดวินัยในการระดมเงินออม
เพื่อแก้ไขปัญหาการแข่งขันการระดมเงินฝากในอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าสมควร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สถาบันการเงินเกิดปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน มีการผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปให้ลูกหนี้ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาลูกหนี้ค้างชำระ และเป็นผลกระทบต่อฐานะการดำเนินงานของสถาบันการเงินในที่สุด ดังนั้น เมื่อทางการได้มีมาตรการที่จะคุ้มครองผู้ฝากเงินแล้วเช่นนี้ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ประกาศกำหนดเพดานเพื่อจะให้ดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินกู้ยืมของสถาบันการเงินทยอยลดต่ำลง โดยในขั้นแรกกำหนดดังนี้
(1) ให้บริษัทเงินทุนจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถามได้ไม่เกินร้อยละ 11 ต่อปี และสำหรับประเภทที่มีระยะเวลาไม่เกินร้อยละ 14 ต่อปี ส่วนกรณีที่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนดให้ลดดอกเบี้ยที่จ่ายลงเหลือไม่เกินร้อยละ 7 ต่อปี
(2) ให้ธนาคารพาณิชย์จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากไม่ว่าประเภทใดได้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี
3. การคุ้มครองผู้ฝากเงินในบริษัทเงินทุนที่หยุดดำเนินกิจการ
เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ถือตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุน 16 ราย ที่กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ระงับดำเนินกิจการชั่วคราวนั้น สำหรับบริษัทเงินทุนรายที่ต่อไปมีการโอนกิจการไปรวมกับสถาบันการเงินแกนของทางการอันได้แก่ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนที่มีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั้น กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขอให้บริษัทดังกล่าวให้สิทธิผู้ฝากเงินที่สุจริตแลกเปลี่ยนตั๋วได้เต็มจำนวนเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้าง
ในการดำเนินการตามแผนการนี้ กระทรวงการคลังจำเป็นจะต้องออกหนังสือให้แก่ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) เพื่อยืนยันมิให้สถาบันการเงินที่เข้ามารับแลกเปลี่ยนตั๋วโดยสุจริตครั้งนี้ได้รับความเสียหาย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 1 กรกฎาคม 2540--