ทำเนียบรัฐบาล--29 พ.ย.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการโครงการเงินกู้เพื่อเร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของสถานบริการสาธารณสุขในส่วนภูมิภาค ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีเป้าหมายเพื่อจัด ซื้อครุภัณฑ์ รวมทั้งจัดจ้างสร้างอาคารต่าง ๆให้แก่สถานบริการสาธารณสุขในทุกระดับ ดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินกู้จากต่างประเทศ (Foreign Cost) จำนวน 4,193,901,800 บาท เพื่อการจัดซื้อครุภัณฑ์สำหรับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี โรงพยาบาลชุมชน และสถานีอนามัย
2. ค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินงบประมาณภายในประเทศ (Local Cost) จำนวนงบประมาณรวม ทั้งสิ้น6,997,211,400 บาท เพื่อการจัดซื้อครุภัณฑ์ 756,251,400 บาท การจัดจ้างก่อสร้าง สิ่งก่อ สร้าง 6,240,960,000 บาท
โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง ทบวงมหาวิทยาลัย สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรองนายกรัฐมนตรี (นายอำนวย วีรวรรณ) ต่อไปนี้ไปพิจารณาด้วย
1. เน้นการผลิตพยาบาลระดับอนุปริญญามากกว่าระดับปริญญาเพราะใช้ระยะเวลาการ ผลิตสั้น และเมื่อผลิตเพียงพอต่อความต้องการแล้วก็ให้พยาบาลเหล่านี้ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีต่อไป
2. ในระยะสั้น กระทรวงสาธารณสุขจะต้องผลิตแพทย์ร่วมกับทบวงมหาวิทยาลัยเพื่อบรรจุใน โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้ทบวงมหาวิทยาลัยเป็นผู้สอนวิชาพื้นฐานและโรงพยาบาล ศูนย์ของกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รับผิดชอบการฝึกงาน
3. ในระยะยาว การผลิตแพทย์ต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้มีการผลิตทั้งระบบปิดและ ระบบเปิดและให้ปริมาณความต้องการของตลาดเป็นตัวกำหนดปริมาณการผลิตแพทย์ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนใน การผลิตแพทย์ต่อคนต่ำลงและจะได้แพทย์ที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ทบวงมหาวิทยาลัย แพทย์สภา และ กระทรวงสาธารณสุขต้องเป็นผู้ควบคุมคุณภาพโดยเคร่งครัด
4. ควรเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรในการใช้เครื่องมือที่จะจัดซื้อตามโครงการดัง กล่าวที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าพร้อมไปด้วย รวมทั้งจัดกำลังคนให้เพียงพอกับระบบการบริการรักษา พยาบาลที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคตจึงจะส่งผลให้ระบบการบริการรักษาพยาบาลตามโครงการนี้ บรรลุผลสำเร็จยิ่งขึ้น
5. ควรเตรียมสถานที่สำหรับการติดตั้งครุภัณฑ์อุปกรณ์ที่จะซื้อมาใหม่ด้วย เพราะอุปกรณ์ บางส่วนมีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่เพิ่มเติมและมีระบบการติดตั้งที่ต้องใช้อุณหภูมิควบคุมการใช้ด้วย
6. ควรเตรียมงบประมาณในส่วนที่ต้องใช้ต่อเนื่องไว้ให้พร้อม เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่ากระ แสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณการใช้อุปกรณ์
7. ตามแนวคิดและทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 และทิศทาง การพัฒนาด้านสาธารณสุขได้มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค โดยสนับสนุนให้ประชาชน มีพฤติกรรมอนามัยที่ถูกต้องซึ่งในระยะยาวจะมีส่วนช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยและลดภาระค่ารักษาพยาบาล ทั้งในส่วนบุคคลและส่วนรวมได้ในระดับหนึ่งดังนั้น จึงควรให้กระทรวงสาธารณสุข และสถานบริการ สาธารณสุขในโครงการให้ความสำคัญต่องานส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคมากยิ่งขึ้น
8. ควรจัดลำดับความสำคัญของโครงการโดยมุ่งเน้นการดำเนินการในพื้นที่ที่มีความจำเป็น เร่งด่วนก่อน
9. เนื่องจากวงเงินค่าใช้จ่ายของโครงการค่อนข้างสูงและเป็นเงินกู้จากต่างประเทศ ดังนั้น จึงควรมอบหมายให้กระทรวงการคลังและกระทรวงสาธารณสุขหาทางที่จะทำให้การดำเนินโครง การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นการประกวดราคาสากล เป็นต้น สำหรับค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินงบ ประมาณแผ่นดิน ควรมอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรให้ตามความจำเป็นต่อไป
10. การจัดหาแหล่งเงินกู้ให้พิจารณาแหล่งเงินกู้ที่ให้เงื่อนไขผ่อนปรนเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อ มิให้เป็นภาระทางด้านการเงินการคลังของประเทศ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 28 พฤศจิกายน 2538--
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการโครงการเงินกู้เพื่อเร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของสถานบริการสาธารณสุขในส่วนภูมิภาค ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีเป้าหมายเพื่อจัด ซื้อครุภัณฑ์ รวมทั้งจัดจ้างสร้างอาคารต่าง ๆให้แก่สถานบริการสาธารณสุขในทุกระดับ ดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินกู้จากต่างประเทศ (Foreign Cost) จำนวน 4,193,901,800 บาท เพื่อการจัดซื้อครุภัณฑ์สำหรับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี โรงพยาบาลชุมชน และสถานีอนามัย
2. ค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินงบประมาณภายในประเทศ (Local Cost) จำนวนงบประมาณรวม ทั้งสิ้น6,997,211,400 บาท เพื่อการจัดซื้อครุภัณฑ์ 756,251,400 บาท การจัดจ้างก่อสร้าง สิ่งก่อ สร้าง 6,240,960,000 บาท
โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง ทบวงมหาวิทยาลัย สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรองนายกรัฐมนตรี (นายอำนวย วีรวรรณ) ต่อไปนี้ไปพิจารณาด้วย
1. เน้นการผลิตพยาบาลระดับอนุปริญญามากกว่าระดับปริญญาเพราะใช้ระยะเวลาการ ผลิตสั้น และเมื่อผลิตเพียงพอต่อความต้องการแล้วก็ให้พยาบาลเหล่านี้ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีต่อไป
2. ในระยะสั้น กระทรวงสาธารณสุขจะต้องผลิตแพทย์ร่วมกับทบวงมหาวิทยาลัยเพื่อบรรจุใน โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้ทบวงมหาวิทยาลัยเป็นผู้สอนวิชาพื้นฐานและโรงพยาบาล ศูนย์ของกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รับผิดชอบการฝึกงาน
3. ในระยะยาว การผลิตแพทย์ต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้มีการผลิตทั้งระบบปิดและ ระบบเปิดและให้ปริมาณความต้องการของตลาดเป็นตัวกำหนดปริมาณการผลิตแพทย์ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนใน การผลิตแพทย์ต่อคนต่ำลงและจะได้แพทย์ที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ทบวงมหาวิทยาลัย แพทย์สภา และ กระทรวงสาธารณสุขต้องเป็นผู้ควบคุมคุณภาพโดยเคร่งครัด
4. ควรเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรในการใช้เครื่องมือที่จะจัดซื้อตามโครงการดัง กล่าวที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าพร้อมไปด้วย รวมทั้งจัดกำลังคนให้เพียงพอกับระบบการบริการรักษา พยาบาลที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคตจึงจะส่งผลให้ระบบการบริการรักษาพยาบาลตามโครงการนี้ บรรลุผลสำเร็จยิ่งขึ้น
5. ควรเตรียมสถานที่สำหรับการติดตั้งครุภัณฑ์อุปกรณ์ที่จะซื้อมาใหม่ด้วย เพราะอุปกรณ์ บางส่วนมีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่เพิ่มเติมและมีระบบการติดตั้งที่ต้องใช้อุณหภูมิควบคุมการใช้ด้วย
6. ควรเตรียมงบประมาณในส่วนที่ต้องใช้ต่อเนื่องไว้ให้พร้อม เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่ากระ แสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณการใช้อุปกรณ์
7. ตามแนวคิดและทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 และทิศทาง การพัฒนาด้านสาธารณสุขได้มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค โดยสนับสนุนให้ประชาชน มีพฤติกรรมอนามัยที่ถูกต้องซึ่งในระยะยาวจะมีส่วนช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยและลดภาระค่ารักษาพยาบาล ทั้งในส่วนบุคคลและส่วนรวมได้ในระดับหนึ่งดังนั้น จึงควรให้กระทรวงสาธารณสุข และสถานบริการ สาธารณสุขในโครงการให้ความสำคัญต่องานส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคมากยิ่งขึ้น
8. ควรจัดลำดับความสำคัญของโครงการโดยมุ่งเน้นการดำเนินการในพื้นที่ที่มีความจำเป็น เร่งด่วนก่อน
9. เนื่องจากวงเงินค่าใช้จ่ายของโครงการค่อนข้างสูงและเป็นเงินกู้จากต่างประเทศ ดังนั้น จึงควรมอบหมายให้กระทรวงการคลังและกระทรวงสาธารณสุขหาทางที่จะทำให้การดำเนินโครง การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นการประกวดราคาสากล เป็นต้น สำหรับค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินงบ ประมาณแผ่นดิน ควรมอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรให้ตามความจำเป็นต่อไป
10. การจัดหาแหล่งเงินกู้ให้พิจารณาแหล่งเงินกู้ที่ให้เงื่อนไขผ่อนปรนเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อ มิให้เป็นภาระทางด้านการเงินการคลังของประเทศ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 28 พฤศจิกายน 2538--