ทำเนียบรัฐบาล--27 มิ.ย.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 7 ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหัวหน้าคณะ ไปเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 7 ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ระหว่างวันที่ 22 - 23 มิถุนายน 2543 โดยมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
1. การประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแนวทางในการกำหนดนโยบายเพื่อสร้างฐานที่แข็งแกร่งในการพัฒนา SMEs ที่มีอยู่แล้ว และหาโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนา SMEs โดยเฉพาะการพัฒนา SMEs สำหรับปี 2543 โดยเน้น 4 ประเด็นหลัก ดังนี้
1.1 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Development) : การเสริมสร้างขีดความสามารถของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในกลุ่มสมาชิกเอเปค
1.2 เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ (Information and Communication Technology) : การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของเอเปคได้ใช้ประโยชน์จากการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1.3 การสนับสนุนด้านการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Financing SMEs) : การสร้างโอกาสให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้เข้าถึงตลาดเงินและตลาดทุน
1.4 กลยุทธ์ในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกับธุรกิจขนาดใหญ่ (Strategic Alliances between SMEs and SMEs and Larger Firms) : สู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของความหลากหลาย
2. ที่ประชุมได้รับทราบข้อเสนอของคณะทำงานฯ ในการสนับสนุนมติรัฐมนตรีเอเปคที่รับผิดชอบด้านการค้าในการร่วมมือกันระหว่าง SMEs และการเร่งดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NIMs) การอำนวยความสะดวกในการค้าข้ามพรมแดนและการลงทุน ตลอดจนการเสริมสร้างขีดความสามารถของ SMEs และการดำเนินการโครงการเกี่ยวกับสตรีในเอเปค และยังได้เน้นในหลักการที่โครงการของเอเปคควรตอบสนองต่อความต้องการของ SMEs เพื่อเสริมสร้างให้มีพื้นฐานที่มั่นคงพร้อมที่จะขยายและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทั้งในด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และเศรษฐกิจบนพื้นฐานความรู้ (Knowledge - based Economy) โดยปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจในภูมิภาคและการส่งเสริมให้เผยแพร่ข้อมูลของรัฐทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
3. ที่ประชุมยังได้เห็นชอบที่จะดำเนินการโครงการใหม่ ได้แก่ การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนา SMEs ในยุค 2543 และการสนับสนุนธุรกิจใหม่ รวมทั้งโครงการเกี่ยวกับผลกระทบของ SMEs ในเอเปคภายหลังจีนเข้าเป็นสมาชิก WTO การประชุมเรื่องการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โครงการนำร่องส่งเสริมจับคู่ธุรกิจระหว่างไทยและสหรัฐฯ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตและโครงการจัดทำข้อมูล SMEs ในยุค 2543 ซึ่งโครงการทั้งใหม่และเก่าเป็นโครงการที่กลุ่มสมาชิกเอเปคได้หารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อพัฒนา SMEs ของแต่ละประเทศ
4. สาระสำคัญของการนำเสนอในแต่ละประเด็นหลัก
4.1 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ : การเสริมสร้างขีดความสามารถของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกลุ่มสมาชิกเอเปค
จากภาวะวิกฤตของประเทศในเอเชีย ทำให้ทราบถึงจุดอ่อนในหลาย ๆ ด้านของ SMEs ที่ทำให้มีความจำเป็นต้องเร่งรีบพัฒนาสร้างผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารเทคโนโลยี การจัดการธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันในกลยุทธ์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสร้างความเป็นผู้ประกอบการและความชำนาญทางธุรกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้กล่าวถึงแนวทางของไทยในการสนับสนุนอุตสาหกรรมชนบท ส่งเสริมการจ้างงานการรับช่วงการผลิตของชุมชนชนบท ลดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงาน สามารถทำงานอยู่ในท้องถิ่นสร้างความเข้มแข็งของสังคมครอบครัว รวมทั้งแผนแม่บทการพัฒนา SMEs ของไทย และการอบรมพัฒนาผู้ประกอบการ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดยได้อบรมไปแล้วกว่า 20,000รายในช่วง 9 เดือน รวมทั้งการกระตุ้นและสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีพื้นฐานการศึกษาทางเทคโนโลยีให้หันมาเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น
4.2 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร : การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของเอเปคได้ใช้ประโยชน์จากการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ที่ประชุมได้รับทราบแนวทางของประเทศต่าง ๆ ในการส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดย่อมมีความสนใจใช้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และวางกรอบเพื่อคุ้มครองธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การดำเนินการพัฒนานโยบายและกระบวนการกำหนดกฎเกณฑ์ด้วยตนเอง และมาตรฐานทางเทคนิคสำหรับความปลอดภัยในการดำเนินธุรกรรม การวางกรอบสำหรับการประสานด้านมาตรฐานระหว่างประเทศ เพื่อร่วมมือกันสร้างบรรยากาศในการพัฒนาสำหรับภาคธุรกิจและการยอมรับจากผู้บริโภค และสร้างความมั่นใจในระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การมุ่งเน้นให้ประชาชนเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะเป็นกลไกสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจในศตวรรษที่ 21 ซึ่งทุกประเทศจะต้องถือเป็นความสำคัญของประเทศ การปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศ ทั้งระดับภูมิภาคและทั่วโลก พัฒนาและรักษามาตรฐานร่วมกันเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินการระหว่างกัน และการสร้างนโยบายทางการค้าสำหรับการดำเนินธุรกรรมข้ามแดนที่ให้ประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งระบบภาษีศุลกากรและกระบวนการทางศุลกากรที่เท่าเทียมกัน โดยเน้นให้เอเปคร่วมมือกัน
ประเทศไทยเห็นว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งต่อความอยู่รอดและโอกาสการเติบโตของ SMEs และเป็นกุญแจสู่โลกยุคไร้พรมแดนอย่างแท้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและกำลังออกกฎหมายต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองการดำเนินธุรกิจของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น กฎหมายการรับรองลายมือทางอิเล็กทรอนิกส์ การคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น รวมทั้งการพัฒนา SMEs ให้มีขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งความพร้อมในการดำเนินธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
4.3 การสนับสนุนด้านการเงินแก่ SMEs : การสร้างโอกาสให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้เข้าถึงตลาดเงินและตลาดทุน
ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ SMEs ในหลายประเทศไม่สามารถเข้าถึงตลาดทุนได้ เช่นการขาดข้อมูลการตลาด การไม่มีหลักทรัพย์เพียงพอ ขาดการค้ำประกัน ต้นทุนการเงินสูงและการที่สถาบันการเงินไม่พัฒนา ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการของ SMEs
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการดำเนินการของรัฐบาลไทยในการจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมทุนใน SMEs โดยได้จัดสรรเงินกองทุนเริ่มแรก จำนวน 1,000 ล้านบาท และได้กำหนดนโยบายการบริหารกองทุนที่จะเน้นการเข้าร่วมลงทุนในวิสาหกิจขนาดย่อมที่เป็นยุทธศาสตร์ต่อการฟื้นตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น วิสาหกิจที่มีเทคโนโลยีสูง ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์สำหรับ SMEs (Market for Alternative Investment - MAI) ซึ่งมีเงื่อนไขในการเข้าจดทะเบียนต่ำกว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเน้นความโปร่งใสและความมีเสถียรภาพ ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า ประเทศไทยได้ดำเนินงานด้านการสนับสนุน SMEs ไปในทิศทางที่ถูกต้อง และก้าวต่อไปได้แก่การพัฒนาตลาดทุนเพื่อสร้าง SMEs ให้มีความแข็งแรง และเป็นแหล่งระดมทุนจากทั่วภาคพื้นเอเปค
4.4 การเสริมสร้างพันธมิตรธุรกิจของ SMEs ในเอเปค : สู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของความหลากหลาย
ที่ประชุมได้รับทราบการพัฒนาพันธมิตรธุรกิจซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ SMEs เติบโต โดยวิสาหกิจที่ใช้พันธมิตรธุรกิจมักมีขนาดเล็กแต่สามารถนำไปสู่ยอดขายที่ขยายตัวเร็วกว่ามีนวัตกรรมในตัวสินค้ามากกว่า และคืนทุนได้เร็วกว่าวิสาหกิจทั่วไป การพัฒนา Business Partnership initiative เป็นกลไกที่ช่วยให้ SMEs ค้นพบพันธมิตรที่เหมาะสมจากฐานข้อมูลวิสาหกิจที่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาระดับหนึ่งแล้ว โดยมีความตกลงและให้ความช่วยเหลือแก่องค์กรในประเทศภาคี ให้การรับรองคุณสมบัติของวิสาหกิจ และติดตั้งระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ทางอินเตอร์เน็ต เพื่อให้วิสาหกิจที่เข้าเป็นสมาชิก สามารถสืบค้นหาวิสาหกิจที่มีความต้องการสอดคล้องและมีคุณสมบัติตรงตามประสงค์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้เอเปคแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมในการผลักดันให้เกิดพันธมิตรทางธุรกิจข้ามชาติ โดยเฉพาะพันธมิตรทางธุรกิจที่มีลักษณะเป็นแนวตั้ง ซึ่งทำให้สินค้าไทยที่ผลิตได้โดย SMEs สามารถเข้าสู่ระบบการผลิตในตลาดโลกได้ในเวลาอันสั้นและเป็นการเปิดตลาด ลดอุปสรรคทางการค้าของไทย และในการนี้ ประเทศไทยได้เสนอให้เอเปคจัดทำโครงการพัฒนาประสิทธิภาพในการจัดการโซ่อุปทานเป็นโครงการทดลองที่ไทยเห็นว่าเป็นประโยชน์ที่มีความสำคัญในลำดับต้น ทั้งนี้ประเทศไทยได้เสนอรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการสร้างพันธมิตรธุรกิจ เพื่อประสิทธิภาพในการจัดการโซ่อุปทานในปี พ.ศ.2544 โดยใช้เงินกองทุนเอเปคเพื่อสนับสนุนการจัดประชุมหมุนเวียนในกลุ่มสมาชิกที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาในเอเปค โดยขอให้ประเทศที่พัฒนาแล้วสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญเป็นวิทยากรมาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 27 มิ.ย. 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 7 ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหัวหน้าคณะ ไปเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 7 ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ระหว่างวันที่ 22 - 23 มิถุนายน 2543 โดยมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
1. การประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแนวทางในการกำหนดนโยบายเพื่อสร้างฐานที่แข็งแกร่งในการพัฒนา SMEs ที่มีอยู่แล้ว และหาโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนา SMEs โดยเฉพาะการพัฒนา SMEs สำหรับปี 2543 โดยเน้น 4 ประเด็นหลัก ดังนี้
1.1 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Development) : การเสริมสร้างขีดความสามารถของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในกลุ่มสมาชิกเอเปค
1.2 เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ (Information and Communication Technology) : การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของเอเปคได้ใช้ประโยชน์จากการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1.3 การสนับสนุนด้านการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Financing SMEs) : การสร้างโอกาสให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้เข้าถึงตลาดเงินและตลาดทุน
1.4 กลยุทธ์ในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกับธุรกิจขนาดใหญ่ (Strategic Alliances between SMEs and SMEs and Larger Firms) : สู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของความหลากหลาย
2. ที่ประชุมได้รับทราบข้อเสนอของคณะทำงานฯ ในการสนับสนุนมติรัฐมนตรีเอเปคที่รับผิดชอบด้านการค้าในการร่วมมือกันระหว่าง SMEs และการเร่งดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NIMs) การอำนวยความสะดวกในการค้าข้ามพรมแดนและการลงทุน ตลอดจนการเสริมสร้างขีดความสามารถของ SMEs และการดำเนินการโครงการเกี่ยวกับสตรีในเอเปค และยังได้เน้นในหลักการที่โครงการของเอเปคควรตอบสนองต่อความต้องการของ SMEs เพื่อเสริมสร้างให้มีพื้นฐานที่มั่นคงพร้อมที่จะขยายและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทั้งในด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และเศรษฐกิจบนพื้นฐานความรู้ (Knowledge - based Economy) โดยปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจในภูมิภาคและการส่งเสริมให้เผยแพร่ข้อมูลของรัฐทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
3. ที่ประชุมยังได้เห็นชอบที่จะดำเนินการโครงการใหม่ ได้แก่ การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนา SMEs ในยุค 2543 และการสนับสนุนธุรกิจใหม่ รวมทั้งโครงการเกี่ยวกับผลกระทบของ SMEs ในเอเปคภายหลังจีนเข้าเป็นสมาชิก WTO การประชุมเรื่องการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โครงการนำร่องส่งเสริมจับคู่ธุรกิจระหว่างไทยและสหรัฐฯ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตและโครงการจัดทำข้อมูล SMEs ในยุค 2543 ซึ่งโครงการทั้งใหม่และเก่าเป็นโครงการที่กลุ่มสมาชิกเอเปคได้หารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อพัฒนา SMEs ของแต่ละประเทศ
4. สาระสำคัญของการนำเสนอในแต่ละประเด็นหลัก
4.1 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ : การเสริมสร้างขีดความสามารถของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในกลุ่มสมาชิกเอเปค
จากภาวะวิกฤตของประเทศในเอเชีย ทำให้ทราบถึงจุดอ่อนในหลาย ๆ ด้านของ SMEs ที่ทำให้มีความจำเป็นต้องเร่งรีบพัฒนาสร้างผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารเทคโนโลยี การจัดการธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันในกลยุทธ์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสร้างความเป็นผู้ประกอบการและความชำนาญทางธุรกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้กล่าวถึงแนวทางของไทยในการสนับสนุนอุตสาหกรรมชนบท ส่งเสริมการจ้างงานการรับช่วงการผลิตของชุมชนชนบท ลดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงาน สามารถทำงานอยู่ในท้องถิ่นสร้างความเข้มแข็งของสังคมครอบครัว รวมทั้งแผนแม่บทการพัฒนา SMEs ของไทย และการอบรมพัฒนาผู้ประกอบการ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดยได้อบรมไปแล้วกว่า 20,000รายในช่วง 9 เดือน รวมทั้งการกระตุ้นและสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีพื้นฐานการศึกษาทางเทคโนโลยีให้หันมาเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น
4.2 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร : การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของเอเปคได้ใช้ประโยชน์จากการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ที่ประชุมได้รับทราบแนวทางของประเทศต่าง ๆ ในการส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดย่อมมีความสนใจใช้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และวางกรอบเพื่อคุ้มครองธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การดำเนินการพัฒนานโยบายและกระบวนการกำหนดกฎเกณฑ์ด้วยตนเอง และมาตรฐานทางเทคนิคสำหรับความปลอดภัยในการดำเนินธุรกรรม การวางกรอบสำหรับการประสานด้านมาตรฐานระหว่างประเทศ เพื่อร่วมมือกันสร้างบรรยากาศในการพัฒนาสำหรับภาคธุรกิจและการยอมรับจากผู้บริโภค และสร้างความมั่นใจในระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การมุ่งเน้นให้ประชาชนเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะเป็นกลไกสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจในศตวรรษที่ 21 ซึ่งทุกประเทศจะต้องถือเป็นความสำคัญของประเทศ การปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศ ทั้งระดับภูมิภาคและทั่วโลก พัฒนาและรักษามาตรฐานร่วมกันเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินการระหว่างกัน และการสร้างนโยบายทางการค้าสำหรับการดำเนินธุรกรรมข้ามแดนที่ให้ประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งระบบภาษีศุลกากรและกระบวนการทางศุลกากรที่เท่าเทียมกัน โดยเน้นให้เอเปคร่วมมือกัน
ประเทศไทยเห็นว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งต่อความอยู่รอดและโอกาสการเติบโตของ SMEs และเป็นกุญแจสู่โลกยุคไร้พรมแดนอย่างแท้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและกำลังออกกฎหมายต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองการดำเนินธุรกิจของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น กฎหมายการรับรองลายมือทางอิเล็กทรอนิกส์ การคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น รวมทั้งการพัฒนา SMEs ให้มีขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งความพร้อมในการดำเนินธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
4.3 การสนับสนุนด้านการเงินแก่ SMEs : การสร้างโอกาสให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้เข้าถึงตลาดเงินและตลาดทุน
ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ SMEs ในหลายประเทศไม่สามารถเข้าถึงตลาดทุนได้ เช่นการขาดข้อมูลการตลาด การไม่มีหลักทรัพย์เพียงพอ ขาดการค้ำประกัน ต้นทุนการเงินสูงและการที่สถาบันการเงินไม่พัฒนา ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการของ SMEs
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการดำเนินการของรัฐบาลไทยในการจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมทุนใน SMEs โดยได้จัดสรรเงินกองทุนเริ่มแรก จำนวน 1,000 ล้านบาท และได้กำหนดนโยบายการบริหารกองทุนที่จะเน้นการเข้าร่วมลงทุนในวิสาหกิจขนาดย่อมที่เป็นยุทธศาสตร์ต่อการฟื้นตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น วิสาหกิจที่มีเทคโนโลยีสูง ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์สำหรับ SMEs (Market for Alternative Investment - MAI) ซึ่งมีเงื่อนไขในการเข้าจดทะเบียนต่ำกว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเน้นความโปร่งใสและความมีเสถียรภาพ ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า ประเทศไทยได้ดำเนินงานด้านการสนับสนุน SMEs ไปในทิศทางที่ถูกต้อง และก้าวต่อไปได้แก่การพัฒนาตลาดทุนเพื่อสร้าง SMEs ให้มีความแข็งแรง และเป็นแหล่งระดมทุนจากทั่วภาคพื้นเอเปค
4.4 การเสริมสร้างพันธมิตรธุรกิจของ SMEs ในเอเปค : สู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของความหลากหลาย
ที่ประชุมได้รับทราบการพัฒนาพันธมิตรธุรกิจซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ SMEs เติบโต โดยวิสาหกิจที่ใช้พันธมิตรธุรกิจมักมีขนาดเล็กแต่สามารถนำไปสู่ยอดขายที่ขยายตัวเร็วกว่ามีนวัตกรรมในตัวสินค้ามากกว่า และคืนทุนได้เร็วกว่าวิสาหกิจทั่วไป การพัฒนา Business Partnership initiative เป็นกลไกที่ช่วยให้ SMEs ค้นพบพันธมิตรที่เหมาะสมจากฐานข้อมูลวิสาหกิจที่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาระดับหนึ่งแล้ว โดยมีความตกลงและให้ความช่วยเหลือแก่องค์กรในประเทศภาคี ให้การรับรองคุณสมบัติของวิสาหกิจ และติดตั้งระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ทางอินเตอร์เน็ต เพื่อให้วิสาหกิจที่เข้าเป็นสมาชิก สามารถสืบค้นหาวิสาหกิจที่มีความต้องการสอดคล้องและมีคุณสมบัติตรงตามประสงค์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้เอเปคแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมในการผลักดันให้เกิดพันธมิตรทางธุรกิจข้ามชาติ โดยเฉพาะพันธมิตรทางธุรกิจที่มีลักษณะเป็นแนวตั้ง ซึ่งทำให้สินค้าไทยที่ผลิตได้โดย SMEs สามารถเข้าสู่ระบบการผลิตในตลาดโลกได้ในเวลาอันสั้นและเป็นการเปิดตลาด ลดอุปสรรคทางการค้าของไทย และในการนี้ ประเทศไทยได้เสนอให้เอเปคจัดทำโครงการพัฒนาประสิทธิภาพในการจัดการโซ่อุปทานเป็นโครงการทดลองที่ไทยเห็นว่าเป็นประโยชน์ที่มีความสำคัญในลำดับต้น ทั้งนี้ประเทศไทยได้เสนอรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการสร้างพันธมิตรธุรกิจ เพื่อประสิทธิภาพในการจัดการโซ่อุปทานในปี พ.ศ.2544 โดยใช้เงินกองทุนเอเปคเพื่อสนับสนุนการจัดประชุมหมุนเวียนในกลุ่มสมาชิกที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาในเอเปค โดยขอให้ประเทศที่พัฒนาแล้วสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญเป็นวิทยากรมาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 27 มิ.ย. 2543--
-สส-