คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 ที่อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้เปลี่ยนแปลงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2533 เรื่อง นโยบายการพัฒนาทรัพยากรน้ำ โดยให้ตัดข้อความเดิมในวงเล็บที่ระบุว่า "(กล่าวคือเมื่อราษฎรมีความพร้อมและอ่างเก็บน้ำสามารถเก็บน้ำได้ตามแผนแล้ว จึงทำการก่อสร้างระบบส่งน้ำ)" ออก และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน "ถ้าราษฎรมีความพร้อม ให้หน่วยงานสามารถเสนอขออนุมัติพร้อมกันทั้งการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำและก่อสร้างระบบส่งน้ำได้ ตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินการ"
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2542 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้เพิ่มเติมข้อความตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้วย ดังนี้
"โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรขนาดใหญ่ จะต้องมีการศึกษาความเหมาะสมของโครงการอย่างสมบูรณ์ ส่วนโครงการขนาดกลาง ในขั้นแรกให้พิจารณาด้านอุทกวิทยาและสภาพทางภูมิศาสตร์และสังคมจิตวิทยาเป็นเกณฑ์กำหนด สำหรับขั้นตอนในการออกแบบและก่อสร้าง นั้น จะต้องวางแผนให้สามารถดำเนินการได้เป็นระยะ ๆ โดยถ้าพื้นที่ดำเนินการโครงการและราษฎรมีความพร้อม ให้หน่วยงานสามารถเสนอขออนุมัติพร้อมกัน ทั้งการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำและก่อสร้างระบบส่งน้ำได้ตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินการ"
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า
1. คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติในการประชุมเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2542 ขอแก้ไขมติที่ประชุมเรื่อง นโยบายการพัฒนาทรัพยากรน้ำ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2532 ในข้อ 2 โดยกรมชลประทานมีความจำเป็นในการแก้ไขโดยมีเหตุผลสนับสนุนการสร้างอ่างเก็บน้ำพร้อมระบบชลประทานดังต่อไปนี้
1.1 แผนการจัดสรรน้ำ การกระจายน้ำและการระบายน้ำ
แผนการจัดสรรน้ำ
1) การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำพร้อมระบบชลประทาน เป็นการจูงใจให้เกิดการตื่นตัวของผู้ใช้น้ำ เพื่อให้ผู้ใช้น้ำทราบว่า ในบริเวณพื้นที่เกษตรกรรมในท้องถิ่นของตนจะมีการพัฒนาระบบการส่งน้ำ และการกระจายน้ำ ทำให้สามารถกำหนดขอบเขตการดำเนินการพัฒนาเกษตรชลประทานได้ เป็นแนวทางนำไปสู่การจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำขึ้นเพื่อวางแผนการจัดสรรน้ำสำหรับการเกษตร อุปโภค - บริโภค อุตสาหกรรมและอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง เมื่อประชาชนในท้องถิ่นได้เห็นการพัฒนาชลประทานครบวงจร การเก็บน้ำ การส่งน้ำ และการกระจายน้ำ ผลลัพธ์พลอยได้คือการลดการต่อต้านการสร้างเขื่อนให้น้อยลง
2) การก่อสร้างระบบชลประทานภายหลังการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ หากไม่สามารถป้องกันการบุกรุกที่ดินและการบุกเบิกพื้นที่เพื่อทำการเกษตรได้ ปัญหาที่ตามมาคือ ปริมาณน้ำต้นทุนไม่เพียงพอ มีผลกระทบมากต่อการวางแนวคลองส่งน้ำ และสถานภาพท้ายน้ำจะเปลี่ยนไป โดยวิถีชีวิตชาวไทยเมื่อมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ประชาชนจะอพยพไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่รอบ ๆ แหล่งเก็บกักน้ำ
3) โครงการพัฒนาชลประทานที่มีความสมบูรณ์ทางกายภาพของอ่างเก็บน้ำ ระบบส่งน้ำ และระบบกระจายน้ำทำให้การวางแผนจัดรอบเวรส่งน้ำ สามารถควบคุมระบบเปิด - ปิด และพัฒนาให้เกิดการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดต้นทุนของระบบชลประทานได้
แผนการกระจายน้ำ
1) เมื่ออ่างเก็บน้ำมีระบบชลประทานสมบูรณ์ การทราบปริมาณน้ำต้นทุนที่แท้จริง การวางเครือข่ายการส่งน้ำ และการกระจายน้ำ จะเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำ
2) การพัฒนาระบบชลประทาน เป็นช่องทางให้กรมชลประทานสามารถกระจายการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำให้ประชาชนได้รับประโยชน์เพื่อนำไปใช้ในการเกษตร อุตสาหกรรม ตลอดจนอุปโภค - บริโภคได้ประโยชน์ตามเวลาที่ต้องการ
แผนการระบายน้ำ กรณีเกิดภัยธรรมชาติอันเนื่องจากอุทกภัย ระบบชลประทานที่สมบูรณ์ทำให้สามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ได้เร็วขึ้นในกรณีน้ำท่วม
1.2 แผนการจัดหาที่ดิน
1) การจัดหาที่ดินเพื่อก่อสร้างโครงการชลประทาน การกันแนวเขตในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณหัวงาน และแนวเขตพื้นที่ก่อสร้างระบบส่งน้ำและระบายน้ำ ก่อนดำเนินการก่อสร้างกระบวนการจัดหาที่ดิน โดยปกติจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี ซึ่งหากมีการดำเนินการไปพร้อมกันทั้งการจัดหาที่ดินเพื่อก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ และก่อสร้างระบบส่งน้ำ จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาการปลูกสร้างทรัพย์สินหรือการปลูกพืชยืนต้น โดยมีเจตนาเพื่อหวังเงินค่าทดแทนจากทางราชการ
2) เป็นการวางแนวคลองและทำหลักหมุดกันเขตไว้เป็นหลักฐานชัดเจน สามารถบรรเทาและป้องกันการบุกรุกพื้นที่ของราษฎรได้
3) การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำพร้อมระบบชลประทาน เป็นการวางแผนแบบครบวงจรสามารถรองรับพื้นที่รับประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมและคุ้มทุน หากไม่ก่อสร้างไปพร้อมกัน โดยมีการก่อสร้างระบบชลประทานภายหลังมักไม่เป็นไปตามแผน เนื่องจากเมื่อมีน้ำในอ่างเกิดขึ้นแล้วจะมีราษฎรเข้ามาบุกรุก และบุกเบิกพื้นที่มากขึ้น
4) หากการก่อสร้างระบบชลประทานใช้เวลายาวนานออกไป จะมีราษฎรบุกรุกพื้นที่มากขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลานานมากขึ้นในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งในการออกไปสำรวจที่ดินในภายหลังมักจะถูกร้องเรียนจากผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องผูกพันกันไปอย่างต่อเนื่อง
1.3 แผนเตรียมการก่อนการก่อสร้าง
1) การวางผังแนวคลองส่งน้ำสายใหญ่ เพื่อก่อสร้างระบบส่งระบายน้ำไปพร้อมกับการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ทำให้ประชาชนที่อยู่บริเวณแนวคลองสามารถกำหนดแผนการเพาะปลูก และการตลาดไปพร้อมกันได้
2) ประชาชนทั้งในบริเวณที่จะก่อสร้างอ่างเก็บน้ำและก่อสร้างระบบชลประทาน มีส่วนร่วมในการรับรู้และยินยอมให้ก่อสร้างตามแนวคลองที่กำหนด
1.4 แผนการลงทุน
การวางแผนดำเนินการและขอตั้งงบประมาณการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำพร้อมระบบชลประทาน ทำให้ประหยัดเวลาการก่อสร้าง กล่าวคือ โดยทั่วไปการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำใช้เวลา 3 ปี ก่อสร้างระบบชลประทานอีก 4 ปี รวมเป็น 7 ปี หากมีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไปพร้อมระบบชลประทานจะใช้เวลาประมาณ 4 ปี ร่นระยะเวลาการก่อสร้างลงประมาณ 3 ปี ส่งผลให้มีการใช้ประโยชน์จากสิ่งก่อสร้างเร็วขึ้นและเกิดผลประโยชน์ตอบแทนเร็วขึ้นตามไปด้วย การพัฒนาระบบชลประทานแบบครบวงจรการจัดการน้ำ สามารถนำมาใช้เป็นมาตรการหนึ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ที่ก่อให้เกิดรายได้ของประชากรเพิ่มขึ้นและเร็วขึ้น อีกทั้งทำให้การวางแผนเงินกระชับยิ่งขึ้น หากไม่เป็นไปตามแผน จะมีผลกระทบต่อการขอตั้งวงเงินงบประมาณได้ โดยเฉพาะการก่อสร้างระบบชลประทานทั้งโครงการชลประทานขนาดใหญ่ และขนาดกลางจะมีต้นทุนค่าก่อสร้างสูงมาก
1.5 แผนพัฒนาสถาบันชุมชน
1) ทำให้องค์กรท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล หรือองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีส่วนร่วมรับรู้โครงการในพื้นที่ สามารถตรวจสอบ ติดตามและประเมินผลโครงการตั้งแต่เริ่มแรก เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนได้เสียจากโครงการที่เกิดขึ้นทำให้การปฏิบัติงานมีความโปร่งใส
2) ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากน้ำชลประทานในพื้นที่สามารถจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ ตลอดจนกลุ่มบริหารการใช้น้ำเพื่อรองรับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นจากการใช้น้ำชลประทานไปพร้อมกัน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 ก.ค.44--
-สส-
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2542 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้เพิ่มเติมข้อความตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้วย ดังนี้
"โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรขนาดใหญ่ จะต้องมีการศึกษาความเหมาะสมของโครงการอย่างสมบูรณ์ ส่วนโครงการขนาดกลาง ในขั้นแรกให้พิจารณาด้านอุทกวิทยาและสภาพทางภูมิศาสตร์และสังคมจิตวิทยาเป็นเกณฑ์กำหนด สำหรับขั้นตอนในการออกแบบและก่อสร้าง นั้น จะต้องวางแผนให้สามารถดำเนินการได้เป็นระยะ ๆ โดยถ้าพื้นที่ดำเนินการโครงการและราษฎรมีความพร้อม ให้หน่วยงานสามารถเสนอขออนุมัติพร้อมกัน ทั้งการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำและก่อสร้างระบบส่งน้ำได้ตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินการ"
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า
1. คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติในการประชุมเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2542 ขอแก้ไขมติที่ประชุมเรื่อง นโยบายการพัฒนาทรัพยากรน้ำ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2532 ในข้อ 2 โดยกรมชลประทานมีความจำเป็นในการแก้ไขโดยมีเหตุผลสนับสนุนการสร้างอ่างเก็บน้ำพร้อมระบบชลประทานดังต่อไปนี้
1.1 แผนการจัดสรรน้ำ การกระจายน้ำและการระบายน้ำ
แผนการจัดสรรน้ำ
1) การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำพร้อมระบบชลประทาน เป็นการจูงใจให้เกิดการตื่นตัวของผู้ใช้น้ำ เพื่อให้ผู้ใช้น้ำทราบว่า ในบริเวณพื้นที่เกษตรกรรมในท้องถิ่นของตนจะมีการพัฒนาระบบการส่งน้ำ และการกระจายน้ำ ทำให้สามารถกำหนดขอบเขตการดำเนินการพัฒนาเกษตรชลประทานได้ เป็นแนวทางนำไปสู่การจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำขึ้นเพื่อวางแผนการจัดสรรน้ำสำหรับการเกษตร อุปโภค - บริโภค อุตสาหกรรมและอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง เมื่อประชาชนในท้องถิ่นได้เห็นการพัฒนาชลประทานครบวงจร การเก็บน้ำ การส่งน้ำ และการกระจายน้ำ ผลลัพธ์พลอยได้คือการลดการต่อต้านการสร้างเขื่อนให้น้อยลง
2) การก่อสร้างระบบชลประทานภายหลังการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ หากไม่สามารถป้องกันการบุกรุกที่ดินและการบุกเบิกพื้นที่เพื่อทำการเกษตรได้ ปัญหาที่ตามมาคือ ปริมาณน้ำต้นทุนไม่เพียงพอ มีผลกระทบมากต่อการวางแนวคลองส่งน้ำ และสถานภาพท้ายน้ำจะเปลี่ยนไป โดยวิถีชีวิตชาวไทยเมื่อมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ประชาชนจะอพยพไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่รอบ ๆ แหล่งเก็บกักน้ำ
3) โครงการพัฒนาชลประทานที่มีความสมบูรณ์ทางกายภาพของอ่างเก็บน้ำ ระบบส่งน้ำ และระบบกระจายน้ำทำให้การวางแผนจัดรอบเวรส่งน้ำ สามารถควบคุมระบบเปิด - ปิด และพัฒนาให้เกิดการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดต้นทุนของระบบชลประทานได้
แผนการกระจายน้ำ
1) เมื่ออ่างเก็บน้ำมีระบบชลประทานสมบูรณ์ การทราบปริมาณน้ำต้นทุนที่แท้จริง การวางเครือข่ายการส่งน้ำ และการกระจายน้ำ จะเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำ
2) การพัฒนาระบบชลประทาน เป็นช่องทางให้กรมชลประทานสามารถกระจายการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำให้ประชาชนได้รับประโยชน์เพื่อนำไปใช้ในการเกษตร อุตสาหกรรม ตลอดจนอุปโภค - บริโภคได้ประโยชน์ตามเวลาที่ต้องการ
แผนการระบายน้ำ กรณีเกิดภัยธรรมชาติอันเนื่องจากอุทกภัย ระบบชลประทานที่สมบูรณ์ทำให้สามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ได้เร็วขึ้นในกรณีน้ำท่วม
1.2 แผนการจัดหาที่ดิน
1) การจัดหาที่ดินเพื่อก่อสร้างโครงการชลประทาน การกันแนวเขตในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณหัวงาน และแนวเขตพื้นที่ก่อสร้างระบบส่งน้ำและระบายน้ำ ก่อนดำเนินการก่อสร้างกระบวนการจัดหาที่ดิน โดยปกติจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี ซึ่งหากมีการดำเนินการไปพร้อมกันทั้งการจัดหาที่ดินเพื่อก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ และก่อสร้างระบบส่งน้ำ จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาการปลูกสร้างทรัพย์สินหรือการปลูกพืชยืนต้น โดยมีเจตนาเพื่อหวังเงินค่าทดแทนจากทางราชการ
2) เป็นการวางแนวคลองและทำหลักหมุดกันเขตไว้เป็นหลักฐานชัดเจน สามารถบรรเทาและป้องกันการบุกรุกพื้นที่ของราษฎรได้
3) การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำพร้อมระบบชลประทาน เป็นการวางแผนแบบครบวงจรสามารถรองรับพื้นที่รับประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมและคุ้มทุน หากไม่ก่อสร้างไปพร้อมกัน โดยมีการก่อสร้างระบบชลประทานภายหลังมักไม่เป็นไปตามแผน เนื่องจากเมื่อมีน้ำในอ่างเกิดขึ้นแล้วจะมีราษฎรเข้ามาบุกรุก และบุกเบิกพื้นที่มากขึ้น
4) หากการก่อสร้างระบบชลประทานใช้เวลายาวนานออกไป จะมีราษฎรบุกรุกพื้นที่มากขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลานานมากขึ้นในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งในการออกไปสำรวจที่ดินในภายหลังมักจะถูกร้องเรียนจากผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องผูกพันกันไปอย่างต่อเนื่อง
1.3 แผนเตรียมการก่อนการก่อสร้าง
1) การวางผังแนวคลองส่งน้ำสายใหญ่ เพื่อก่อสร้างระบบส่งระบายน้ำไปพร้อมกับการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ทำให้ประชาชนที่อยู่บริเวณแนวคลองสามารถกำหนดแผนการเพาะปลูก และการตลาดไปพร้อมกันได้
2) ประชาชนทั้งในบริเวณที่จะก่อสร้างอ่างเก็บน้ำและก่อสร้างระบบชลประทาน มีส่วนร่วมในการรับรู้และยินยอมให้ก่อสร้างตามแนวคลองที่กำหนด
1.4 แผนการลงทุน
การวางแผนดำเนินการและขอตั้งงบประมาณการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำพร้อมระบบชลประทาน ทำให้ประหยัดเวลาการก่อสร้าง กล่าวคือ โดยทั่วไปการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำใช้เวลา 3 ปี ก่อสร้างระบบชลประทานอีก 4 ปี รวมเป็น 7 ปี หากมีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไปพร้อมระบบชลประทานจะใช้เวลาประมาณ 4 ปี ร่นระยะเวลาการก่อสร้างลงประมาณ 3 ปี ส่งผลให้มีการใช้ประโยชน์จากสิ่งก่อสร้างเร็วขึ้นและเกิดผลประโยชน์ตอบแทนเร็วขึ้นตามไปด้วย การพัฒนาระบบชลประทานแบบครบวงจรการจัดการน้ำ สามารถนำมาใช้เป็นมาตรการหนึ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ที่ก่อให้เกิดรายได้ของประชากรเพิ่มขึ้นและเร็วขึ้น อีกทั้งทำให้การวางแผนเงินกระชับยิ่งขึ้น หากไม่เป็นไปตามแผน จะมีผลกระทบต่อการขอตั้งวงเงินงบประมาณได้ โดยเฉพาะการก่อสร้างระบบชลประทานทั้งโครงการชลประทานขนาดใหญ่ และขนาดกลางจะมีต้นทุนค่าก่อสร้างสูงมาก
1.5 แผนพัฒนาสถาบันชุมชน
1) ทำให้องค์กรท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล หรือองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีส่วนร่วมรับรู้โครงการในพื้นที่ สามารถตรวจสอบ ติดตามและประเมินผลโครงการตั้งแต่เริ่มแรก เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนได้เสียจากโครงการที่เกิดขึ้นทำให้การปฏิบัติงานมีความโปร่งใส
2) ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากน้ำชลประทานในพื้นที่สามารถจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ ตลอดจนกลุ่มบริหารการใช้น้ำเพื่อรองรับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นจากการใช้น้ำชลประทานไปพร้อมกัน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 ก.ค.44--
-สส-