สรุปสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตรปี 2553 ครั้งที่ 10

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday April 28, 2010 15:49 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สรุปสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตรปี 2553 ครั้งที่ 10 ณ วันที่ 26 เมษายน 2553 ประกอบด้วย สถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร สถานการณ์น้ำ การเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี 2552/2553 และการให้ความช่วยเหลือ สรุปได้ดังนี้

สถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร

1. ภัยแล้ง พื้นที่ประสบภัยทั้งสิ้น 584,367 ไร่ แบ่งเป็น(ข้อมูล ณ วันที่ 23 เมษายน 2553)

1.1 ช่วงภัย วันที่ 15 ธันวาคม 2552 — 31 มกราคม 2553 พื้นที่ประสบภัยด้านการเกษตรจำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย แพร่ น่าน สุโขทัย มีพื้นที่คาดว่าจะเสียหาย 113,860 ไร่

การดำเนินการ สำรวจความเสียหายและช่วยเหลือแล้ว ปรากฏว่า จังหวัดแพร่ และสุโขทัย ช่วยเหลือโดยสูบน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร และขุดลอกคลองเปิดน้ำและทำทำนบกั้นน้ำ ไม่มีพื้นที่เสียหาย จำนวน 90,283 ไร่ ส่วนจังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่าน มีพื้นที่เสียหาย 23,577 ไร่ เกษตรกร 4,131 ราย ช่วยเหลือด้วยเงินทดรองราชการในอำนาจอำเภอและในอำนาจปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว จำนวน 19.77 ล้านบาท

1.2 ช่วงภัย วันที่ 1 กุมภาพันธ์ — 18 เมษายน 2553 พื้นที่ประสบภัยด้านการเกษตร จำนวน 29 จังหวัด แบ่งเป็น ด้านพืช 25 จังหวัด ด้านปศุสัตว์ 7 จังหวัด โดยประสบภัยทั้งด้านพืชและด้าน ปศุสัตว์ จำนวน 2 จังหวัด ดังนี้

ด้านพืช 24 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ น่าน แพร่ พะเยา ลำปาง อุตรดิตถ์ อุทัยธานี กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครพนม ยโสธร เลย ศรีสะเกษ หนองบัวลำภู หนองคาย ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี สระบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ตรัง สตูล

เกษตรกร 69,250 ราย พื้นที่คาดว่าจะเสียหาย 470,507 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 70,466 ไร่ พืชไร่ 276,355 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 133,758 ไร่

ด้านปศุสัตว์ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร ลำปาง สุโขทัย มุกดาหาร ตราด ชุมพร และตรัง

เกษตรกร 1,178 ราย สัตว์ที่ได้รับผลกระทบ 10,456 ตัว แบ่งเป็น โค 9,778 ตัว กระบือ 115 ตัว แพะ 563 ตัว แปลงหญ้า 228 ไร่

ด้านประมง ไม่มีรายงานพื้นที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จำนวน 675,718 ราย ส่วนใหญ่เกษตรกรจะทำการเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งจะงดการเลี้ยงสัตว์น้ำในช่วงฤดูแล้ง จากการประมาณการจะมีผู้เลี้ยงสัตว์น้ำในช่วงฤดูแล้งประมาณ 200,000 ราย คิดเป็นร้อยละ 30 ของผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั้งหมด ซึ่งเกษตรกรจะปฏิบัติตามคำแนะนำของทางราชการในการจับสัตว์น้ำที่ได้ขนาดขึ้นมาจำหน่ายหรือบริโภคก่อนเกิดความเสียหาย

การดำเนินการ

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำแผนเตรียมรับสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร และให้จังหวัดจัดทำแผนปฏิบัติการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรระดับจังหวัด โดยดำเนินการตามแผนดังกล่าว ดังนี้

1. การจัดสรรน้ำ ได้ระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ จำนวน 21,554 ล้าน ลบ.ม. (จากแผน 20,720 ล้าน ลบ.ม.) เพื่อสนับสนุนเกษตรกรปลูกพืชฤดูแล้งในพื้นที่เขตชลประทาน จำนวน 14.91 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าวนาปรัง 10.44 ล้านไร่ พืชไร่-พืชผัก 0.62 ล้านไร่ และพืชอื่นๆ 3.85 ล้านไร่ โดยเก็บเกี่ยวแล้วรวมทั้งสิ้น 5.35 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าวนาปรัง 5.00 ล้านไร่ พืชไร่-พืชผัก 0.35 ล้านไร่

2. การปฏิบัติการฝนหลวง ได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำภาค เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ภัยแล้งปี 2553 ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2553 เป็นต้นมา จำนวน 5 ศูนย์ ประจำภาคต่างๆ และได้ส่งเครื่องบิน จำนวน 24 ลำ ไปตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงแล้ว จำนวน 10 หน่วย ได้แก่ หน่วยเชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา ระยอง จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์(หัวหิน) และสุราษฎร์ธานี และฐานเติมสารฝนหลวง จำนวน 2 ฐาน ได้แก่ จังหวัดตากและสระแก้ว

ผลการปฏิบัติการฝนหลวงประจำสัปดาห์ ช่วงวันที่ 16-22 เมษายน 2553 ขึ้นปฏิบัติการ จำนวน 235 เที่ยวบิน มีฝนตกในพื้นที่เป้าหมาย 50 จังหวัด วัดปริมาณน้ำฝนสูงสุดได้ 136 มิลลิเมตร ที่อำเภอเนินสง่า จังหวัดชัยภูมิ

ผลการปฏิบัติการฝนหลวงสะสม ช่วงวันที่ 25 มกราคม - 22 เมษายน 2553 ขึ้นปฏิบัติการ รวม 55 วัน จำนวน 1,174 เที่ยวบิน มีรายงานฝนตกในปฏิบัติการ รวม 44 วัน จำนวน 386 สถานี วัดปริมาณน้ำฝนรายวันสูงสุดได้ 136.0 มิลลิเมตร จังหวัดที่มีรายงานฝนตกรวม 60 จังหวัด จากจำนวนจังหวัดที่อยู่ในเป้าหมายทั้งหมด 70 จังหวัด

3. สนับสนุนเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ เพื่อช่วยเหลือการปลูกพืชฤดูแล้ง การอุปโภค-บริโภค ทั่วประเทศ ทั้งในพื้นที่เขตชลประทานและนอกพื้นที่เขตชลประทาน จำนวน 777 เครื่อง (เตรียมการไว้ 1,200 เครื่อง) ในพื้นที่ 46 จังหวัด ช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรได้ 429,395 ไร่ แบ่งเป็น ในพื้นที่เขตชลประทาน 351,566 ไร่ และนอกพื้นที่เขตชลประทาน 78,369 ไร่

โดยแยกเป็น ภาคเหนือ 15 จังหวัด จำนวน 254 เครื่อง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด จำนวน 249 เครื่อง ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก 12 จังหวัด จำนวน 192 เครื่อง และภาคใต้ 9 จังหวัด จำนวน 82 เครื่อง

4. สนับสนุนรถบรรทุกน้ำ เพื่อช่วยเหลือการอุปโภค-บริโภคและการเกษตร จำนวน 29 คัน 2,696 เที่ยว ปริมาณน้ำ 16,176,000 ลิตร ในพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ 1 จังหวัด จำนวน 84,000 ลิตร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 จังหวัด จำนวน 126,000 ลิตร ภาคกลาง 1 จังหวัด จำนวน 1,200,000 ลิตร ภาคตะวันออก 4 จังหวัด จำนวน 14,106,000 ลิตร และภาคใต้ 3 จังหวัด จำนวน 660,000 ลิตร

5. การสนับสนุนเสบียงสัตว์ ในกรณีที่ขาดแคลน โดยประสานกับศูนย์/สถานีวิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ ในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 29 แห่ง ทั้งนี้ ก่อนเกิดภัยในพื้นที่ที่มีภัยแล้งซ้ำซาก ศูนย์วิจัยฯ/สถานีพัฒนาอาหารสัตว์ จะส่งเจ้าหน้าที่ไปให้คำแนะนำแก่เกษตรกรผลิตเสบียงสัตว์ สำรองไว้ใช้เองในยามขาดแคลน โดยจะนำเครื่องจักรกลเกษตร เช่น รถแทรกเตอร์ และเครื่องอัดหญ้าแห้ง ออกไปสนับสนุนกลุ่มเกษตรกร โดยจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเสบียงสัตว์โครงการนาหญ้าฯ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง ในปี 2553 มีเป้าหมายสนับสนุนเกษตรกรทั้งสิ้น จำนวน 3,140 ราย ผลิตเสบียงสัตว์ทั้งสิ้น 6,280 ตัน นอกจากนั้น ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตกล้าพันธุ์-ท่อนพันธุ์จำหน่าย โดยจัดทำโครงการผลิตกล้าพันธุ์และท่อนพันธุ์พืชอาหารสัตว์ เพื่อทดแทนการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์เป็นอาชีพเสริม

ณ วันที่ 23 เมษายน 2553 สนับสนุนแล้ว 118.9 ตัน จากที่สำรองไว้เพื่อช่วยเหลือภัยธรรมชาติ จำนวน 4,720 ตัน

6. การแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ดังนี้

1) สื่อสิ่งพิมพ์ ได้แก่ บทความในหนังสือพิมพ์รายวัน จำนวน 42 ครั้ง วารสารข่าวของหน่วยงาน จำนวน 14 ครั้ง โปสเตอร์และติดประกาศในพื้นที่

2) สื่อวิทยุ ได้แก่ ข่าว บทความ ตามสถานีวิทยุเพื่อการเกษตร AM 1386 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย สถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก AM 1269 สถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ AM 1107 และสถานีวิทยุกระจายเสียงภายในจังหวัด จำนวน42 ครั้ง และเผยแพร่สปอตวิทยุ จำนวน 122 ครั้ง

3) สื่อโทรทัศน์ ได้แก่ ข่าว สารคดี และสปอตโทรทัศน์ จำนวน 7 ครั้ง

ประเด็นที่เผยแพร่ ได้แก่

ด้านพืช สถานการณ์น้ำ แผนและผลการจัดสรรน้ำ แผนและผลการปลูกพืชฤดูแล้ง การเตือนภัยการระบาดของศัตรูพืช แนวโน้มราคาพืชไร่-พืชผัก รณรงค์ไถกลบตอซัง การปรับปรุงบำรุงดิน การจัดดินและปุ๋ย รณรงค์ให้เกษตรกรในเขตลุ่มเจ้าพระยางดการปลูกข้าวนาปรังครั้งที่ 2 การปลูกพืชอายุสั้นใช้น้ำน้อยทดแทนการปลูกข้าวนาปรัง

ด้านปศุสัตว์ การเตรียมแหล่งน้ำ โดยสัตว์แต่ละชนิดจะมีความต้องการน้ำแตกต่างกัน เช่น โค กระบือ ความต้องการน้ำ 40-60 ลิตรต่อวัน การเตรียมอพยพ กรณีเกษตรกรที่มี โค—กระบือจำนวนมาก อาจจะต้องย้ายฝูงสัตว์ไปเลี้ยงในแหล่งที่มีปริมาณน้ำเพียงพอ ส่งเสริมให้เกษตรกรสร้างแหล่งน้ำชุมชนสำหรับเลี้ยงสัตว์ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำซ้ำซากในอนาคต และให้คำแนะนำในการดูแลด้านสุขภาพสัตว์ การฉีดวัคซีนป้องกันโรค พ่นยาฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาด ควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ข้ามเขตจังหวัดและเฝ้าระวังการเกิดโรคระบาดสัตว์อย่างเข้มงวด

ด้านประมง การควบคุมการใช้น้ำและรักษาปริมาณน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ การป้องกันการรั่วซึมหรือจัดทำร่มเงาให้กับบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ การจัดเตรียมหาแหล่งน้ำสำรอง การลดปริมาณอาหารสัตว์น้ำลงเพื่อป้องกันน้ำเน่าเสีย อัตราการปล่อยและขนาดพันธุ์สัตว์น้ำ หรือการจับสัตว์น้ำที่ได้ขนาดขึ้นมาจำหน่ายหรือบริโภค ควรงดเว้นการขนถ่ายสัตว์น้ำหรืองดเว้นการเลี้ยงในช่วงดังกล่าวโดยทำการตากบ่อ

2. ศัตรูพืช โรคพืช ระบาด

2.1 เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคเขียวเตี้ย และโรคใบหงิก

มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 อนุมัติงบประมาณ วงเงิน 1,240 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามโครงการช่วยเหลือเกษตรกรแก้ไขปัญหาโดยการตัดวงจรเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคเขียวเตี้ย และโรคใบหงิก ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติม จนถึงวันที่ 12 เมษายน 2553 ในพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก อุทัยธานี กำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร เพชรบูรณ์ สุพรรณบุรี อ่างทอง นนทบุรี ปทุมธานี สิงห์บุรี ชัยนาท ลพบุรี นครนายก

การดำเนินการ

1. การไถกลบต้นข้าวเพื่อยุติการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคเขียวเตี้ย และโรคใบหงิก ณ วันที่ 26 เมษายน 2553 เกษตรกรเข้าร่วมโครงการรวมทั้งสิ้น จำนวน 11,140 ราย พื้นที่ 197,479 ไร่ อยู่ระหว่างประชาคม โดยผ่านการประชมคมแล้ว จำนวน 7,839 ราย พื้นที่ 136,291 ไร่ ผ่านการประชุม ก.ช.ภ.อ. จำนวน 6,421 ราย พื้นที่ 112,573 ไร่ และผ่านการประชุม ก.ช.ภ.จ. จำนวน 3,860 ราย พื้นที่ 69,532 ไร่ ซึ่งได้ดำเนินการไถกลบแล้ว จำนวน 74 ราย พื้นที่ 21,046 ไร่

2. การจัดเตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 9,086 ตัน

3. การเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายทอดเทคโนโลยี ได้แก่ อบรมเจ้าหน้าที่ 500 ราย จัดตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน 50 ศูนย์ คัดเลือกแปลงสาธิต 14 แปลง คัดเลือกศูนย์ข้าวชุมชนเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ต้านทาน 400 ศูนย์และจัดสรรเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ต้านทาน ศูนย์ๆ ละ 3 ตัน รวม 1,200 ตัน เพื่อดำเนินการผลิตในฤดูนาปี 2553/54 และกระจายพันธุ์ไปสู่ชุมชนในฤดูนาปรังปี 2554 จำนวนไม่ต่ำกว่า 24,000 ตัน

พื้นที่การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล

ณ วันที่ 21 เมษายน 2553 มีพื้นที่ระบาดทั้งสิ้น 13 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก อุทัยธานี กำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร สุพรรณบุรี อ่างทอง นนทบุรี ปทุมธานี สิงห์บุรี ชัยนาท ลพบุรี นครนายก จำนวน 0.75 ล้านไร่ พื้นที่ระบาดลดลง 0.29 ล้านไร่ (ณ วันที่ 7 เม.ย. 53 จำนวน 1.04 ล้านไร่) และยังพบการระบาดของโรคใบหงิกและโรคเขียวเตี้ยในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก อุทัยธานี พิจิตร สุพรรณบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี

2.2 เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง

มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 อนุมัติงบประมาณ วงเงิน 65.66 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง พื้นที่โครงการ จำนวน 600,000 ไร่ แต่ขณะนี้มีพื้นที่เกิดการระบาดของเพลี้ยแป้งในพื้นที่ 35 จังหวัด จำนวน 1,124,627 ไร่ (พื้นที่ปลูกทั้งหมด 45 จังหวัด จำนวน 5,117,300 ไร่) โดยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวน 114,840 ไร่

สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่โครงการ 600,000 ไร่ มีพื้นที่ระบาด 137,480 ไร่ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 24,849 ไร่ และในพื้นที่นอกโครงการ มีพื้นที่ระบาด 987,147 ไร่ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 89,991 ไร่

การดำเนินการ ณ วันที่ 21 เมษายน 2553 ได้ดำเนินการอบรมถ่ายทอดความรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ 5,455 ราย ถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกร 156,076 ราย รณรงค์ให้เกษตรกรใช้สารเคมีในการกำจัด โดยการแช่ท่อนพันธุ์ 397,327 ไร่ และฉีดพ่นสารเคมี 362,845 ไร่ จัดตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน 604 ศูนย์ ทำแปลงสำรวจติดตามสถานการณ์การระบาดของเพลี้ยแป้ง 643 แปลง จัดตั้งหมู่บ้านต้นแบบการจัดการศัตรูพืช 232 หมู่บ้าน และศูนย์บริหารศัตรูพืช ผลิตพ่อแม่พันธุ์แมลงช้างปีกใส 1,056,225 ตัว รวมทั้งประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ ผ่านสื่อต่าง เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อสารมวลชนต่างๆ เสียงตามสาย และผ่านการประชุมของกำนันผู้ใหญ่บ้าน

สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ 26 เมษายน 2553

1. สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ

สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ (26 เมษายน 2553) มีปริมาณน้ำทั้งหมด 38,534 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 52 ของความจุอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งหมด (ปริมาณน้ำใช้การได้ 14,689 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 20 ของความจุอ่างฯ)น้อยกว่าปี 2552 (42,934 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 58) จำนวน 4,400 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 6 ของความจุอ่างฯ

ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่สะสมในช่วงฤดูแล้ง ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.52 ถึง 26 เม.ย.53 จำนวน 5,835 ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณระบายสะสมในช่วงฤดูแล้งตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.52 ถึง 26 เม.ย.53 จำนวน 21,647 ล้านลูกบาศก์เมตร

อ่างเก็บน้ำที่อยู่ในเกณฑ์น้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุอ่างฯ จำนวน 1 อ่าง คือ ศรีนครินทร์(81)

อ่างเก็บน้ำที่อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อยกว่าร้อยละ 30 ของความจุอ่างฯ จำนวน 9 อ่าง ได้แก่ แม่กวง(15) แควน้อย(25) ห้วยหลวง(28) น้ำอูน(24) อุบลรัตน์(28) ป่าสักฯ(17) ทับเสลา(17) ขุนด่านฯ(15) และคลองสียัด(25)

สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำภาคตะวันออก

จังหวัดชลบุรี มีอ่างเก็บน้ำ 7 อ่าง รวมปริมาณน้ำ 74.3 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 42 ของความจุอ่างฯ (น้อยกว่าปี 2552 จำนวน 2.1 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 1) ปริมาณน้ำใช้การได้ 59 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 33 ของความจุอ่างฯ

จังหวัดระยอง มีอ่างเก็บน้ำ 4 แห่ง รวมปริมาณน้ำ 348.3 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 67 ของความจุอ่างฯ (น้อยกว่าปี 2552 จำนวน 32.1 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 6) ปริมาณน้ำใช้การได้ 320 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 61 ของความจุอ่างฯ

2. สภาพน้ำท่า

ภาคเหนือ แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แม่น้ำมูล ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย

ภาคกลาง แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำป่าสัก ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย

ภาคใต้ แม่น้ำท่าตะเภา แม่น้ำตาปี แม่น้ำโก-ลก ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้อย

3. คุณภาพน้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 17 เมษายน.2553)

การจัดสรรน้ำและการปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2552/2553

ผลการจัดสรรน้ำ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 52 ถึง 26 เม.ย.53 จัดสรรน้ำไปแล้ว 22,008 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 106 ของแผนการจัดสรรน้ำ (เกินแผนที่กำหนดไว้ 1,288 ล้าน ลบ.ม.) ส่วนในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ 26 เม.ย.53 มีการใช้น้ำไปแล้ว 10,142 ล้าน ลบ.ม. (เกินแผนที่กำหนดไว้ 2,142 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 127 ของแผนการจัดสรรน้ำ

ผลการปลูกพืชฤดูแล้ง คาดการณ์พื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี 2552/53 ทั้งประเทศ จำนวน 12.28 ล้านไร่ แยกเป็นข้าวนาปรัง 9.50 ล้านไร่ (ในเขตชลประทาน 7.50 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 2.00 ล้านไร่) และพืชไร่-ผัก 2.78 ล้านไร่ (ในเขตชลประทาน 0.78 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 2.00 ล้านไร่)

ณ วันที่ 23 เม.ย. 53 พื้นที่ปลูกแล้วทั้งสิ้น จำนวน 19.25 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 156 ของพื้นที่คาดการณ์ แยกเป็น ข้าวนาปรัง 16.39 ล้านไร่ พืชไร่ พืชผัก 2.86 ล้านไร่ โดยเก็บเกี่ยวแล้ว 8.10 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าวนาปรัง 7.14 ล้านไร่ พืชไร่-พืชผัก 0.96 ล้านไร่

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 27 เมษายน 2553--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ