เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2544 เวลา 19.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ณ Library of Congress กรุงวอชิงตัน ดี ซี สหรัฐอเมริกา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและบริษัท เซอร์เบอร์รัส แคปปิตอล แมเนจ เม้นท์ (Cerberus Asia Capital Management) เพื่อเป็นการจัดตั้งกองทุนร่วมทุน (MOU on Matching Fund) มูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 22,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงนามร่วมระหว่างรัฐบาลไทย ประกอบด้วยผู้แทนของธนาคารกรุงไทย (KTB) บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีนายมาร์ค เนปพอเร้นท์ ผู้จัดการกองทุนบริษัท เซอร์เบอร์รัส แคปปิตอล แมเนจ เม้นท์ ลงนามฝ่ายอเมริกัน และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตรองประธานาธิบดี แดน เควล ที่ปรึกษาอาวุโสของกองทุนเซอร์เบอร์รัส ได้ร่วม ลงนามเป็นสักขีพยาน
ทั้งนี้ ภายหลังพิธีลงนาม นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ นายแดน เควล (Mr.Dan Quayle) ในฐานะประธานบริษัท Cerberus ได้เป็นเจ้าภาพเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี โดยมีบุคคลสำคัญและนักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐ ฯ เข้าร่วมประมาณ 30 คน ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์กล่าวตอบ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำดังกล่าว สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเดินทางมาสหรัฐ ฯ ในครั้งนี้ นับเป็นการเดินทางมาเยือนครั้งแรกนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นฉันท์มิตรระหว่างประเทศทั้งสองเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้นำสหรัฐ ฯ ขณะนี้ความสัมพันธ์ของสองประเทศ ได้พัฒนาไปหลายมิติครอบคลุมทุกด้านทั้งการเมือง เศรษฐกิจ การค้าและสังคมวัฒนธรรม ดังนั้น การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ ที่แข็งแกร่ง (A Strong and Strategic Partnership) ยังคงเป็นวัตถุประสงค์สำคัญอันหนึ่งของรัฐบาลไทย
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงเหตุการณ์การก่อการร้ายในสหรัฐฯ ว่า รัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหยื่อเคราะห์ร้ายผู้บริสุทธิ์ และขอแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อชาวอเมริกัน รวมถึงความสมัครสมานสามัคคีของชาวอเมริกัน รัฐบาลขอประนามการกระทำการก่อการร้ายอย่างถึงที่สุด และขอสนับสนุนในความพยายามของประชาคมโลกอย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับภัยคุกคามดังกล่าว พร้อมกับเชื่อมั่นว่าผู้ก่ออาชญากรรมดังกล่าว จะถูกนำมาพิจารณาลงโทษต่อการกระทำของตนเองในไม่ช้านี้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่าเศรษฐกิจของเอเชียได้ตกต่ำลงในช่วงที่ผ่านมา และเมื่อมีสัญญาณการฟื้นตัวก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอันเนื่องจากการก่อการร้ายในสหรัฐ ฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวให้ความมั่นใจถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยว่า ประเทศไทยยังเป็นแหล่งลงทุนที่นักธุรกิจมั่นใจได้ เนื่องจากรัฐบาลกำลังดำเนินการในหลายเรื่อง เพื่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายที่เรียกว่า “Dual Track Policy ” หรือ “นโยบายเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน” ที่เน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศในระดับรากหญ้า ขณะเดียวกันก็ยังคงดำเนินนโยบายเปิดประเทศสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ และการส่งออกและนี่คือนโยบายหลักของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ในด้านของการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน หรือ Matching Fund โดยรัฐบาลไทยพร้อมที่จะร่วมลงทุนในอัตราถึงร้อยละ 25 ของมูลค่าโครงการลงทุน ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะช่วยทำให้นักลงทุนต่างประเทศ และผู้ร่วมลงทุนในประเทศสามารถดำเนินการประกอบธุรกิจในโครงการต่างๆ อย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ กองทุน ฯ ดังกล่าวยังจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของ รัฐบาลในความสำเร็จของโครงการการลงทุนดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง การจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย หรือ TAMC ว่านับเป็นอีกก้าวหนึ่งของการดำเนินการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาหนี้เสีย โดยพยายามที่จะขจัดหนี้เสีย (NPLs) ดังกล่าวออกจากระบบ เพื่อให้ธนาคารสามารถกลับมาดำเนินการปล่อยกู้ได้อีกครั้งหนึ่ง และ TAMC ยังมีส่วนสำคัญในการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการและการเงินของบริษัทด้วย
ในด้านการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติ รัฐบาลยังได้พยายามปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเอื้ออำนวยด้านการลงทุน ทั้งนี้ รัฐบาลยังพร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆ จากนักธุรกิจ เอกชน และเพื่อเป็นการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับประเทศโดยเฉพาะสถานะทางการเงินและเศรษฐกิจ รัฐบาลชุดนี้ กำลังดำเนินการเพื่อให้ระบบการลงทุนและการดำเนินไปอย่างเปิดกว้าง โปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ยังให้ความสนใจในเป้าหมายของการพัฒนาประเทศ และด้วยเหตุนี้ นโยบายภายในประเทศจึงต้องสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น โดยที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในใจกลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงทำให้ไทยมีความพร้อมทางยุทธศาสตร์ ซึ่งกล่าวได้ว่าไทยเป็นศูนย์กลางของประเทศอาเซียนสิบ (The Hub for the ten nations of ASEAN) และยังเป็นประตูสำหรับจีนตอนใต้ด้วย
นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวให้ความมั่นใจว่า ไทยจะร่วมทำงานกับนักธุรกิจสหรัฐ ฯ เพื่อผลประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันและเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ การเดินทางมาเยือนสหรัฐ ฯ ครั้งนี้ จุดประสงค์ที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งก็คือ เพื่อเป็นการยืนยันถึงความเป็นพันธมิตรและมิตรที่เก่าแก่ในความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ และยังเป็นที่น่ายินดีว่าในวันพรุ่งนี้ (วันที่ 14 ธันวาคม 2544) ทั้งสองฝ่ายจะได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐ ฯ (Framework on Economic Cooperation) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายความร่วมมือและการเจรจาร่วมกันในทางการค้า การลงทุน เทคโนโลยี การคมนาคม เป็นต้น
ในท้ายนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความหวังว่า การเดินทางมาเยือนกรุง วอชิงตันในช่วงนี้ นับเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ และเพื่อการทำงานร่วมกันในการเผชิญกับความท้าท้ายต่างๆ ในอนาคต
อนึ่ง เกี่ยวกับ MOU on Matching Fund เป็นข้อเสนอที่บริษัท Cerberus Asia Capital Management , LLC ได้เสนอที่จะร่วมลงทุน (Co-Investment) กับรัฐบาลไทย ซึ่งจะเป็นการเข้าร่วมลงทุนในกิจการของไทยที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ รวมทั้งกิจการที่มีการปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะกิจการที่โอนหนี้ ไปยังบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย เพื่อให้กิจการเหล่านี้สามารถฟื้นตัวและเติบโตต่อไปได้
ทั้งนี้ บริษัท Cerberus ได้กำหนดวงเงินการลงทุนในเบื้องต้นจำนวน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ซึ่งรัฐบาลไทยจะลงทุนในวงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ (ประมาณร้อยละ 20 ของการลงทุน) และบริษัท Cerberus จะร่วมลงทุนในวงเงิน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ประมาณ ร้อยละ 80 ของการลงทุน สำหรับแหล่งเงินทุนในส่วนของไทยจะประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย 1,500 ล้านบาท บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) 1,000 ล้านบาท ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 2,500 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,500 ล้านบาท
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 0 2629 9292, 0 2629 9491 โทรสาร 0 2281 4450--จบ--
-สส-
ทั้งนี้ ภายหลังพิธีลงนาม นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ นายแดน เควล (Mr.Dan Quayle) ในฐานะประธานบริษัท Cerberus ได้เป็นเจ้าภาพเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี โดยมีบุคคลสำคัญและนักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐ ฯ เข้าร่วมประมาณ 30 คน ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์กล่าวตอบ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำดังกล่าว สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเดินทางมาสหรัฐ ฯ ในครั้งนี้ นับเป็นการเดินทางมาเยือนครั้งแรกนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นฉันท์มิตรระหว่างประเทศทั้งสองเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้นำสหรัฐ ฯ ขณะนี้ความสัมพันธ์ของสองประเทศ ได้พัฒนาไปหลายมิติครอบคลุมทุกด้านทั้งการเมือง เศรษฐกิจ การค้าและสังคมวัฒนธรรม ดังนั้น การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ ที่แข็งแกร่ง (A Strong and Strategic Partnership) ยังคงเป็นวัตถุประสงค์สำคัญอันหนึ่งของรัฐบาลไทย
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงเหตุการณ์การก่อการร้ายในสหรัฐฯ ว่า รัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหยื่อเคราะห์ร้ายผู้บริสุทธิ์ และขอแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อชาวอเมริกัน รวมถึงความสมัครสมานสามัคคีของชาวอเมริกัน รัฐบาลขอประนามการกระทำการก่อการร้ายอย่างถึงที่สุด และขอสนับสนุนในความพยายามของประชาคมโลกอย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับภัยคุกคามดังกล่าว พร้อมกับเชื่อมั่นว่าผู้ก่ออาชญากรรมดังกล่าว จะถูกนำมาพิจารณาลงโทษต่อการกระทำของตนเองในไม่ช้านี้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่าเศรษฐกิจของเอเชียได้ตกต่ำลงในช่วงที่ผ่านมา และเมื่อมีสัญญาณการฟื้นตัวก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอันเนื่องจากการก่อการร้ายในสหรัฐ ฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวให้ความมั่นใจถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยว่า ประเทศไทยยังเป็นแหล่งลงทุนที่นักธุรกิจมั่นใจได้ เนื่องจากรัฐบาลกำลังดำเนินการในหลายเรื่อง เพื่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายที่เรียกว่า “Dual Track Policy ” หรือ “นโยบายเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน” ที่เน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศในระดับรากหญ้า ขณะเดียวกันก็ยังคงดำเนินนโยบายเปิดประเทศสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ และการส่งออกและนี่คือนโยบายหลักของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ในด้านของการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน หรือ Matching Fund โดยรัฐบาลไทยพร้อมที่จะร่วมลงทุนในอัตราถึงร้อยละ 25 ของมูลค่าโครงการลงทุน ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะช่วยทำให้นักลงทุนต่างประเทศ และผู้ร่วมลงทุนในประเทศสามารถดำเนินการประกอบธุรกิจในโครงการต่างๆ อย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ กองทุน ฯ ดังกล่าวยังจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของ รัฐบาลในความสำเร็จของโครงการการลงทุนดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง การจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย หรือ TAMC ว่านับเป็นอีกก้าวหนึ่งของการดำเนินการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาหนี้เสีย โดยพยายามที่จะขจัดหนี้เสีย (NPLs) ดังกล่าวออกจากระบบ เพื่อให้ธนาคารสามารถกลับมาดำเนินการปล่อยกู้ได้อีกครั้งหนึ่ง และ TAMC ยังมีส่วนสำคัญในการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการและการเงินของบริษัทด้วย
ในด้านการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติ รัฐบาลยังได้พยายามปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเอื้ออำนวยด้านการลงทุน ทั้งนี้ รัฐบาลยังพร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆ จากนักธุรกิจ เอกชน และเพื่อเป็นการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับประเทศโดยเฉพาะสถานะทางการเงินและเศรษฐกิจ รัฐบาลชุดนี้ กำลังดำเนินการเพื่อให้ระบบการลงทุนและการดำเนินไปอย่างเปิดกว้าง โปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ยังให้ความสนใจในเป้าหมายของการพัฒนาประเทศ และด้วยเหตุนี้ นโยบายภายในประเทศจึงต้องสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น โดยที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในใจกลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงทำให้ไทยมีความพร้อมทางยุทธศาสตร์ ซึ่งกล่าวได้ว่าไทยเป็นศูนย์กลางของประเทศอาเซียนสิบ (The Hub for the ten nations of ASEAN) และยังเป็นประตูสำหรับจีนตอนใต้ด้วย
นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวให้ความมั่นใจว่า ไทยจะร่วมทำงานกับนักธุรกิจสหรัฐ ฯ เพื่อผลประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันและเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ การเดินทางมาเยือนสหรัฐ ฯ ครั้งนี้ จุดประสงค์ที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งก็คือ เพื่อเป็นการยืนยันถึงความเป็นพันธมิตรและมิตรที่เก่าแก่ในความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ และยังเป็นที่น่ายินดีว่าในวันพรุ่งนี้ (วันที่ 14 ธันวาคม 2544) ทั้งสองฝ่ายจะได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐ ฯ (Framework on Economic Cooperation) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายความร่วมมือและการเจรจาร่วมกันในทางการค้า การลงทุน เทคโนโลยี การคมนาคม เป็นต้น
ในท้ายนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความหวังว่า การเดินทางมาเยือนกรุง วอชิงตันในช่วงนี้ นับเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ และเพื่อการทำงานร่วมกันในการเผชิญกับความท้าท้ายต่างๆ ในอนาคต
อนึ่ง เกี่ยวกับ MOU on Matching Fund เป็นข้อเสนอที่บริษัท Cerberus Asia Capital Management , LLC ได้เสนอที่จะร่วมลงทุน (Co-Investment) กับรัฐบาลไทย ซึ่งจะเป็นการเข้าร่วมลงทุนในกิจการของไทยที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ รวมทั้งกิจการที่มีการปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะกิจการที่โอนหนี้ ไปยังบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย เพื่อให้กิจการเหล่านี้สามารถฟื้นตัวและเติบโตต่อไปได้
ทั้งนี้ บริษัท Cerberus ได้กำหนดวงเงินการลงทุนในเบื้องต้นจำนวน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ซึ่งรัฐบาลไทยจะลงทุนในวงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ (ประมาณร้อยละ 20 ของการลงทุน) และบริษัท Cerberus จะร่วมลงทุนในวงเงิน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ประมาณ ร้อยละ 80 ของการลงทุน สำหรับแหล่งเงินทุนในส่วนของไทยจะประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย 1,500 ล้านบาท บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) 1,000 ล้านบาท ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 2,500 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,500 ล้านบาท
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 0 2629 9292, 0 2629 9491 โทรสาร 0 2281 4450--จบ--
-สส-