การเยือนสหรัฐฯ ของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 13-18 ธันวาคม 2544 ครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางสภาวะใหม่ต่างๆ ของโลก โดยในประเทศไทย ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ในสหรัฐฯ เอง ก็มีรัฐบาลใหม่ในเวลาไล่เลี่ยกัน ด้วยเหตุนี้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีจึงเห็นความจำเป็นที่ผู้นำของทั้งสองประเทศควรที่จะพบกันเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางหรือยุทธศาสตร์ ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ในระยะต่อไปท่ามกลางสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ในโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือความมั่นคง โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์การก่อการร้าย วันที่ 11 กันยายน
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ใช้การเยือนกรุงวอชิงตันระหว่างวันที่ 13-15 ธันวาคม 2544 เป็นโอกาสที่จะหารือแนวทางที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างเต็มที่ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำสหรัฐฯ จากทุกภาคไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาล ภาคนิติบัญญัติ หรือภาคเอกชน โดยทุกฝ่ายต่างแสดงความชื่นชมต่อความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างไทยกับสหรัฐฯ และความร่วมมืออันดียิ่งที่สหรัฐฯ ได้รับจากไทยเสมอมา ที่สำคัญที่สุดคือ ทุกฝ่ายโดยเฉพาะท่านประธานาธิบดี เห็นพ้องกับข้อเสนอต่างๆ ของเรา รวมทั้งมีข้อเสนอและความริเริ่มต่างๆ มาหารือกับเราด้วย
ในภาครัฐบาล ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้พบปะหารือกับประธานาธิบดี George Bush ที่ Oval Office ของทำเนียบขาวในวันที่ 14 ธันวาคม โดยมี นาย Colin Powell รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และ ดร. Condoleezza Rice ที่ปรึกษาประธานาธิบดีสหรัฐฯ ฝ่ายความมั่นคงเข้าร่วมด้วย ในวันเดียวกันได้มีบุคคลต่างๆ ในคณะรัฐมนตรีสหรัฐฯ มาพบและหารือกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีที่ Blair House บ้านพักรับรองของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้แก่นาย Paul O ’Neill รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ นาย Norman Mineta รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ และ นาย Donald Evans รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจ ทั้งนั้น ซึ่งย่อมแสดงถึงความสำคัญที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้ต่อการดำเนินความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับไทย
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ไปเยี่ยมกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และพบกับ ทั้งนาย Donald Rumsfeld รัฐมนตรีการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และนาย Paul Wolfowitz รัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่ง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยต่อเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2544 พร้อมกับแสดงความพร้อมของไทยที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯ และประชาคมระหว่างประเทศในการต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ นาย Dan Quayle อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารค่ำให้แก่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ธันวาคม 2544 ด้วย โดยมีบุคคลชั้นนำจากฝ่ายธุรกิจ รัฐสภา และตุลาการเข้าร่วม ในโอกาสนั้น ได้มีการลงนามใน Matching Fund ระหว่างนักธุรกิจไทยและอเมริกันจำนวนเงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่วงการธุรกิจอเมริกันมีต่อเศรษฐกิจไทย
ทางด้านภาคนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ได้แก่สภา Congress ได้มีสมาชิกรัฐสภาต่างๆ ของสหรัฐฯ มาพบกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีที่ Blair House และที่อื่นๆ ได้แก่
- นาย Tom Lantos สส. พรรคเดโมแครตจากมลรัฐ California ซึ่งเป็นสมาชิกฝ่ายเสียงข้างน้อยที่มีอาวุโสสูงสุด (Ranking Minority Member) ในคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ (House International Relations Committee)
- นาย Gordon Smith วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากมลรัฐ Oregon
- นาย Orrin Hatch วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากมลรัฐ Utah
- นาย Robert Bennett วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากมลรัฐ Utah
- นาย Christopher Bond วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน จากมลรัฐ Missouri
- นาย Gary Ackerman สส.พรรคเดโมแครตจากมลรัฐ New York
- นาย Tony Hall สส.พรรคเดโมแครตจากมลรัฐ Ohio และ
- นาย Dana Rohrabacher สส.พรรครีพับลิกัน จากมลรัฐ California
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนที่ดีของประเทศไทยในสภาคองเกรสทั้งสิ้น และได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
ในคืนวันที่ 14 ธันวาคม ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้พบกับผู้นำภาคเอกชนชั้นแนวหน้าของสหรัฐฯ โดยเข้าร่วมในการประชุมโต๊ะกลมกับ CEOs ของบริษัทข้ามชาติชั้นนำของสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับแนวทางการร่วมมือทางด้านการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ตลอดจนการเพิ่มการลงทุนของสหรัฐฯ ในไทย และการที่ไทยสามารถเป็นแกนกลางในภูมิภาค (regional hub) สำหรับสหรัฐฯ ทางด้านเศรษฐกิจสาขาต่างๆ ในขณะเดียวกัน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่ง U.S.-Asean Business Council U.S.-Thai Business Council และ Asia Society ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ซึ่งประธานาธิบดี Bush ได้ส่ง นาย Jon Huntsman รองผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (Deputy U.S. Trade Representative) มาร่วมและอ่านสารแสดงความยินดีที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีไปเยือนด้วย ส่วนในสุนทรพจน์ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงแนวทางที่
ไทยสามารถเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ รวมทั้งยืนยันท่าทีของรัฐบาลที่ไม่ได้ปิดประตูต่อการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ หากแต่ได้ดำเนินนโยบาย Dual Track Policy ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจภายใน กระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศและแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนไปพร้อมๆ กันกับการคงการเปิดประเทศต่อการลงทุนจากต่างประเทศ การส่งเสริมการส่งออก และการท่องเที่ยว
หัวใจสำคัญประการหนึ่งของการเยือนในครั้งนี้ ได้แก่การลงนามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยกรอบความร่วมมือฯ ดังกล่าว เป็นการร่วมกันวางยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีขอบข่ายกว้างขวางเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยเป็นการวางยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่จะช่วยเพิ่มการลงทุน เพิ่มปริมาณการค้า และความร่วมมือทางด้านวิชาการ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับไทยเอง และเสริมสร้างฐานะไทยให้เป็นศูนย์กลางในภูมิภาคทางเศรษฐกิจ เช่น การสนับสนุนในการพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศเป็นต้น
นอกจากนี้ ไทยและสหรัฐฯ ยังมีการออกแถลงการณ์ร่วม ซึ่งยอมรับนับถือความเป็นศูนย์กลาง (hub) และย้ำถึงความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งสองในด้านต่างๆ ได้แก่ ความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้าย การค้ายาเสพติด และอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้า และการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการบิน และการขนส่งสินค้าในภูมิภาค ตลอดจนความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกร่วม Cobra Gold ซึ่งเป็นการฝึกร่วมทางทหารแบบพหุภาคีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และเป็นสัญญลักษณ์ของความร่วมมือด้านความมั่นคงที่แข็งแกร่งระหว่างทั้งสองประเทศ
จากการเยือนในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่า สหรัฐฯ ให้ความสำคัญและการยอมรับเป็นอย่างยิ่ง ต่อบทบาทนำของไทยในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นในฐานะผู้นำในอาเซียน และ ARF รวมทั้งเป็นประเทศที่ร่วมมือกับสหรัฐฯ มากที่สุดประเทศหนึ่งในการปราบปรามยาเสพติด และเป็นประเทศที่ช่วยผลักดันการรวมตัวและความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) อีกทั้งชื่นชมในบทบาทนำของไทยในการบำบัดรักษาผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ซึ่งสามารถเป็นตัวอย่างให้แก่ภูมิภาคและต่อโลกโดยรวม
การสนับสนุนของสหรัฐฯ ต่อไทยจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่หน่วยงานด้านการค้าและการพัฒนาของสหรัฐฯ (U.S. Trade and Development Agency) กำลังจะเปิดสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทยในเดือนมกราคม 2545 เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทั้งระหว่างภาครัฐ และเอกชนของไทยและเป็นการยอมรับความสำคัญของกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางของภูมิภาค นอกจากนั้น สหรัฐฯ ยังได้ให้ความสำคัญต่อศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางซ่อมอากาศยาน ศูนย์กลางด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศ และศูนย์กลางด้านการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานในภูมิภาคด้วย
ในระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ไปเยือนนครนิวยอร์ก โดยในวันที่ 17 ธันวาคม ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีไปร่วมงานเลี้ยงอาหารเช้า ซึ่งจัดโดยนาย David Rockefeller ที่ Asia Society โดยมีโอกาสพบปะนักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐฯ ประมาณ 20 คน และได้กล่าวให้ที่ประชุมทราบถึงเรื่องต่างๆ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในภาพรวม การเสริมสร้างความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในลักษณะ Strategic Partnership การสร้างศักยภาพของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในเอเชียและ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประตูไปสู่ประเทศอื่นๆในภูมิภาค
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงมาตรการสำคัญต่างๆ ของไทยในการปรับปรุงและฟื้นฟูเศรษฐกิจ อาทิ การมี dual track policy การส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการลงทุนต่างๆ การจัดตั้ง Matching Fund ซึ่งรัฐบาลจะร่วมลงทุนในกองทุนนี้เป็นจำนวน 500 ล้านบาทเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีมาตรการอื่นที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศ เช่น การลดภาษีให้แก่ผู้ประกอบการต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย เป็นต้น ในการนี้ นักธุรกิจสหรัฐฯ ได้ให้ความสนในที่จะซักถามเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับประเทศไทยและเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคด้วย
ในวันเดียวกัน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ไปเยี่ยมตลาดหุ้นของนครนิวยอร์ก ซึ่งได้มีโอกาสพบหารือระยะสั้นๆ กับนาย Richard A. Grasso ประธาน NYSE นาย William R. Johnson NYSE President และนาย Georges Ugeux NYSE Group Executive Vice President ซึ่งถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
ในช่วงบ่าย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ไปเยี่ยมชม Ground Zero ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคาร World Trade Center เดิม ในการนี้ ทางคณะทูตถาวร ณ นครนิวยอร์กได้จัดให้มีพิธีสงฆ์ เพื่ออุทิศให้แก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมาด้วย
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสพบปะคนไทยที่อยู่ในนครนิวยอร์ก ที่โรงแรม Holiday Inn ซึ่งทำให้ได้มีโอกาสได้พูดคุยและให้กำลังแก่พี่น้องชาวไทยที่อาศัยอยู่ที่นครนิวยอร์ก พร้อมกับแจ้งให้ทราบถึงกิจกรรมต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ไปพบกับนาย Kofi Annan เลขาธิการสหประชาชาติ และแจ้งว่า ภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน ไทยพร้อมที่จะมีบทบาทมากขึ้นในสหประชาชาติ โดยไทยมีความชำนาญหลายด้านที่อาจเป็นประโยชน์ต่อชุมชนระหว่างประเทศ อาทิ การควบคุมเชื้อไวรัส HIV/AIDS การแก้ไขปัญหาความยากจน และการผลิตอาหารสำหรับในอัฟกานิสถาน ไทยอาจพิจารณาส่งหน่วยแพทย์หรือทหารช่างเข้าไปช่วยบูรณะฟื้นฟูประเทศ ตลอดจนสอนประชาชนให้ปลูกพืชทดแทนฝิ่น หากสหประชา-ชาติต้องการโดยไทยมีประสบการณ์จากโครงการหลวง นอกจากนั้น ไทยก็พร้อมที่จะช่วยสนับสนุนความมั่นคงในภูมิภาคโดยการส่งเสริมกระบวนการปรองดองแห่งชาติในพม่า
ในเรื่องของการก่อการร้าย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันท่าทีของไทยที่พร้อมที่จะร่วมมือกับนานาประเทศในการต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบ โดยปัจจุบันนี้ ไทยเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการก่อการร้าย 4 ฉบับ และเพิ่งลงนามเพิ่มอีก 1 ฉบับที่นครนครนิวยอร์ก ส่วนอีก 7 ฉบับที่เหลือนั้น คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโดยหลักการแล้ว แต่จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายภายในเพื่อรองรับเรื่องนี้ก่อน นอกจากนี้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้เชิญเลขาธิการสหประชาชาติเข้าร่วมงาน International Concert for Peace ที่จะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 11 มกราคม 2545 ซึ่งเลขาธิการสหประชาชาติรับที่จะพิจารณา โดยอาจส่งผู้แทนเข้าร่วม
ในเรื่องการต่อต้านยาเสพติด ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้เลขาธิการสหประชาชาติทราบถึงความริเริ่มของไทยในการจัดประชุมสี่ฝ่ายระหว่างไทย พม่า ลาว และจีน เพื่อร่วมมือด้านการปราบปรามยาเสพติด โดยได้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีไปแล้วที่ประเทศจีน และอาจมีการประชุมระดับผู้นำที่กรุงเทพฯ ในปี 2545
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งเลขาธิการสหประชาชาติว่าไทยขอเชิญชวนให้กองทุนบำนาญเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ (United Nations Joint Staff Pension Fund) เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเลขาธิการสหประชาชาติรับที่จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหประชาชาติในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งว่า ไทยมีศักยภาพในการผลิตสินค้าหลายประเภทที่ตรงตามความต้องการของสหประชาชาติ รวมทั้งสินค้าเกษตร ดังนั้น ไทยจึงสนใจที่จะเพิ่มการขายสินค้าและบริการให้กับหน่วยงานในกรอบสหประชาชาติ ซึ่งรวมทั้ง World Food Programme ทั้งนี้ เลขาธิการสหประชาชาติรับที่จะสั่งการเรื่องดังกล่าวให้เป็นพิเศษ
ทางด้านเลขาธิการสหประชาชาติ ได้แสดงความชื่นชมบทบาทการเป็นผู้นำของไทยในด้านต่างๆ ภายในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการป้องกันปราบปรามยาเสพติดและการที่ไทยเสนอความร่วมมือ 4 ฝ่ายให้เป็นเรื่องของภูมิภาค อีกทั้งยังชื่นชมบทบาทของไทยในด้าน HIV/AIDS หรือการส่งเสริมสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเลขาธิการสหประชาชาติ รับว่าจะส่งผู้แทนคือ นาย Razali Ismail มาไทยเพื่อหารือกับรัฐบาลไทยเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการปรองดองแห่งชาติของพม่า ทั้งนี้ สหประชาชาติเองก็เห็นความสำคัญของไทยในการเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคเช่นกัน จึงได้เลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งสำนักงาน ESCAP นอกจากนี้ เลขาธิการสหประชาชาติได้เชิญ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอด Financing for Development ซึ่งจะจัดที่ประเทศเม็กซิโก ในเดือนมีนาคม 2545 ด้วย
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 0 2629 9292, 0 2629 9491 โทรสาร 0 2281 4450--จบ--
-สส-
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ใช้การเยือนกรุงวอชิงตันระหว่างวันที่ 13-15 ธันวาคม 2544 เป็นโอกาสที่จะหารือแนวทางที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างเต็มที่ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำสหรัฐฯ จากทุกภาคไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาล ภาคนิติบัญญัติ หรือภาคเอกชน โดยทุกฝ่ายต่างแสดงความชื่นชมต่อความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างไทยกับสหรัฐฯ และความร่วมมืออันดียิ่งที่สหรัฐฯ ได้รับจากไทยเสมอมา ที่สำคัญที่สุดคือ ทุกฝ่ายโดยเฉพาะท่านประธานาธิบดี เห็นพ้องกับข้อเสนอต่างๆ ของเรา รวมทั้งมีข้อเสนอและความริเริ่มต่างๆ มาหารือกับเราด้วย
ในภาครัฐบาล ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้พบปะหารือกับประธานาธิบดี George Bush ที่ Oval Office ของทำเนียบขาวในวันที่ 14 ธันวาคม โดยมี นาย Colin Powell รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และ ดร. Condoleezza Rice ที่ปรึกษาประธานาธิบดีสหรัฐฯ ฝ่ายความมั่นคงเข้าร่วมด้วย ในวันเดียวกันได้มีบุคคลต่างๆ ในคณะรัฐมนตรีสหรัฐฯ มาพบและหารือกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีที่ Blair House บ้านพักรับรองของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้แก่นาย Paul O ’Neill รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ นาย Norman Mineta รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ และ นาย Donald Evans รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจ ทั้งนั้น ซึ่งย่อมแสดงถึงความสำคัญที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้ต่อการดำเนินความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับไทย
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ไปเยี่ยมกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และพบกับ ทั้งนาย Donald Rumsfeld รัฐมนตรีการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และนาย Paul Wolfowitz รัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่ง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยต่อเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2544 พร้อมกับแสดงความพร้อมของไทยที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯ และประชาคมระหว่างประเทศในการต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ นาย Dan Quayle อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารค่ำให้แก่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ธันวาคม 2544 ด้วย โดยมีบุคคลชั้นนำจากฝ่ายธุรกิจ รัฐสภา และตุลาการเข้าร่วม ในโอกาสนั้น ได้มีการลงนามใน Matching Fund ระหว่างนักธุรกิจไทยและอเมริกันจำนวนเงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่วงการธุรกิจอเมริกันมีต่อเศรษฐกิจไทย
ทางด้านภาคนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ได้แก่สภา Congress ได้มีสมาชิกรัฐสภาต่างๆ ของสหรัฐฯ มาพบกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีที่ Blair House และที่อื่นๆ ได้แก่
- นาย Tom Lantos สส. พรรคเดโมแครตจากมลรัฐ California ซึ่งเป็นสมาชิกฝ่ายเสียงข้างน้อยที่มีอาวุโสสูงสุด (Ranking Minority Member) ในคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ (House International Relations Committee)
- นาย Gordon Smith วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากมลรัฐ Oregon
- นาย Orrin Hatch วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากมลรัฐ Utah
- นาย Robert Bennett วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากมลรัฐ Utah
- นาย Christopher Bond วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน จากมลรัฐ Missouri
- นาย Gary Ackerman สส.พรรคเดโมแครตจากมลรัฐ New York
- นาย Tony Hall สส.พรรคเดโมแครตจากมลรัฐ Ohio และ
- นาย Dana Rohrabacher สส.พรรครีพับลิกัน จากมลรัฐ California
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนที่ดีของประเทศไทยในสภาคองเกรสทั้งสิ้น และได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
ในคืนวันที่ 14 ธันวาคม ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้พบกับผู้นำภาคเอกชนชั้นแนวหน้าของสหรัฐฯ โดยเข้าร่วมในการประชุมโต๊ะกลมกับ CEOs ของบริษัทข้ามชาติชั้นนำของสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับแนวทางการร่วมมือทางด้านการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ตลอดจนการเพิ่มการลงทุนของสหรัฐฯ ในไทย และการที่ไทยสามารถเป็นแกนกลางในภูมิภาค (regional hub) สำหรับสหรัฐฯ ทางด้านเศรษฐกิจสาขาต่างๆ ในขณะเดียวกัน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่ง U.S.-Asean Business Council U.S.-Thai Business Council และ Asia Society ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ซึ่งประธานาธิบดี Bush ได้ส่ง นาย Jon Huntsman รองผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (Deputy U.S. Trade Representative) มาร่วมและอ่านสารแสดงความยินดีที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีไปเยือนด้วย ส่วนในสุนทรพจน์ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงแนวทางที่
ไทยสามารถเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ รวมทั้งยืนยันท่าทีของรัฐบาลที่ไม่ได้ปิดประตูต่อการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ หากแต่ได้ดำเนินนโยบาย Dual Track Policy ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจภายใน กระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศและแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนไปพร้อมๆ กันกับการคงการเปิดประเทศต่อการลงทุนจากต่างประเทศ การส่งเสริมการส่งออก และการท่องเที่ยว
หัวใจสำคัญประการหนึ่งของการเยือนในครั้งนี้ ได้แก่การลงนามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยกรอบความร่วมมือฯ ดังกล่าว เป็นการร่วมกันวางยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีขอบข่ายกว้างขวางเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยเป็นการวางยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่จะช่วยเพิ่มการลงทุน เพิ่มปริมาณการค้า และความร่วมมือทางด้านวิชาการ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับไทยเอง และเสริมสร้างฐานะไทยให้เป็นศูนย์กลางในภูมิภาคทางเศรษฐกิจ เช่น การสนับสนุนในการพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศเป็นต้น
นอกจากนี้ ไทยและสหรัฐฯ ยังมีการออกแถลงการณ์ร่วม ซึ่งยอมรับนับถือความเป็นศูนย์กลาง (hub) และย้ำถึงความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งสองในด้านต่างๆ ได้แก่ ความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้าย การค้ายาเสพติด และอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้า และการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการบิน และการขนส่งสินค้าในภูมิภาค ตลอดจนความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกร่วม Cobra Gold ซึ่งเป็นการฝึกร่วมทางทหารแบบพหุภาคีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และเป็นสัญญลักษณ์ของความร่วมมือด้านความมั่นคงที่แข็งแกร่งระหว่างทั้งสองประเทศ
จากการเยือนในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่า สหรัฐฯ ให้ความสำคัญและการยอมรับเป็นอย่างยิ่ง ต่อบทบาทนำของไทยในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นในฐานะผู้นำในอาเซียน และ ARF รวมทั้งเป็นประเทศที่ร่วมมือกับสหรัฐฯ มากที่สุดประเทศหนึ่งในการปราบปรามยาเสพติด และเป็นประเทศที่ช่วยผลักดันการรวมตัวและความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) อีกทั้งชื่นชมในบทบาทนำของไทยในการบำบัดรักษาผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ซึ่งสามารถเป็นตัวอย่างให้แก่ภูมิภาคและต่อโลกโดยรวม
การสนับสนุนของสหรัฐฯ ต่อไทยจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่หน่วยงานด้านการค้าและการพัฒนาของสหรัฐฯ (U.S. Trade and Development Agency) กำลังจะเปิดสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทยในเดือนมกราคม 2545 เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทั้งระหว่างภาครัฐ และเอกชนของไทยและเป็นการยอมรับความสำคัญของกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางของภูมิภาค นอกจากนั้น สหรัฐฯ ยังได้ให้ความสำคัญต่อศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางซ่อมอากาศยาน ศูนย์กลางด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศ และศูนย์กลางด้านการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานในภูมิภาคด้วย
ในระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ไปเยือนนครนิวยอร์ก โดยในวันที่ 17 ธันวาคม ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีไปร่วมงานเลี้ยงอาหารเช้า ซึ่งจัดโดยนาย David Rockefeller ที่ Asia Society โดยมีโอกาสพบปะนักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐฯ ประมาณ 20 คน และได้กล่าวให้ที่ประชุมทราบถึงเรื่องต่างๆ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในภาพรวม การเสริมสร้างความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในลักษณะ Strategic Partnership การสร้างศักยภาพของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในเอเชียและ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประตูไปสู่ประเทศอื่นๆในภูมิภาค
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงมาตรการสำคัญต่างๆ ของไทยในการปรับปรุงและฟื้นฟูเศรษฐกิจ อาทิ การมี dual track policy การส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการลงทุนต่างๆ การจัดตั้ง Matching Fund ซึ่งรัฐบาลจะร่วมลงทุนในกองทุนนี้เป็นจำนวน 500 ล้านบาทเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีมาตรการอื่นที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศ เช่น การลดภาษีให้แก่ผู้ประกอบการต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย เป็นต้น ในการนี้ นักธุรกิจสหรัฐฯ ได้ให้ความสนในที่จะซักถามเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับประเทศไทยและเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคด้วย
ในวันเดียวกัน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ไปเยี่ยมตลาดหุ้นของนครนิวยอร์ก ซึ่งได้มีโอกาสพบหารือระยะสั้นๆ กับนาย Richard A. Grasso ประธาน NYSE นาย William R. Johnson NYSE President และนาย Georges Ugeux NYSE Group Executive Vice President ซึ่งถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
ในช่วงบ่าย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ไปเยี่ยมชม Ground Zero ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคาร World Trade Center เดิม ในการนี้ ทางคณะทูตถาวร ณ นครนิวยอร์กได้จัดให้มีพิธีสงฆ์ เพื่ออุทิศให้แก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมาด้วย
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสพบปะคนไทยที่อยู่ในนครนิวยอร์ก ที่โรงแรม Holiday Inn ซึ่งทำให้ได้มีโอกาสได้พูดคุยและให้กำลังแก่พี่น้องชาวไทยที่อาศัยอยู่ที่นครนิวยอร์ก พร้อมกับแจ้งให้ทราบถึงกิจกรรมต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ไปพบกับนาย Kofi Annan เลขาธิการสหประชาชาติ และแจ้งว่า ภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน ไทยพร้อมที่จะมีบทบาทมากขึ้นในสหประชาชาติ โดยไทยมีความชำนาญหลายด้านที่อาจเป็นประโยชน์ต่อชุมชนระหว่างประเทศ อาทิ การควบคุมเชื้อไวรัส HIV/AIDS การแก้ไขปัญหาความยากจน และการผลิตอาหารสำหรับในอัฟกานิสถาน ไทยอาจพิจารณาส่งหน่วยแพทย์หรือทหารช่างเข้าไปช่วยบูรณะฟื้นฟูประเทศ ตลอดจนสอนประชาชนให้ปลูกพืชทดแทนฝิ่น หากสหประชา-ชาติต้องการโดยไทยมีประสบการณ์จากโครงการหลวง นอกจากนั้น ไทยก็พร้อมที่จะช่วยสนับสนุนความมั่นคงในภูมิภาคโดยการส่งเสริมกระบวนการปรองดองแห่งชาติในพม่า
ในเรื่องของการก่อการร้าย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันท่าทีของไทยที่พร้อมที่จะร่วมมือกับนานาประเทศในการต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบ โดยปัจจุบันนี้ ไทยเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการก่อการร้าย 4 ฉบับ และเพิ่งลงนามเพิ่มอีก 1 ฉบับที่นครนครนิวยอร์ก ส่วนอีก 7 ฉบับที่เหลือนั้น คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโดยหลักการแล้ว แต่จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายภายในเพื่อรองรับเรื่องนี้ก่อน นอกจากนี้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้เชิญเลขาธิการสหประชาชาติเข้าร่วมงาน International Concert for Peace ที่จะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 11 มกราคม 2545 ซึ่งเลขาธิการสหประชาชาติรับที่จะพิจารณา โดยอาจส่งผู้แทนเข้าร่วม
ในเรื่องการต่อต้านยาเสพติด ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้เลขาธิการสหประชาชาติทราบถึงความริเริ่มของไทยในการจัดประชุมสี่ฝ่ายระหว่างไทย พม่า ลาว และจีน เพื่อร่วมมือด้านการปราบปรามยาเสพติด โดยได้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีไปแล้วที่ประเทศจีน และอาจมีการประชุมระดับผู้นำที่กรุงเทพฯ ในปี 2545
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งเลขาธิการสหประชาชาติว่าไทยขอเชิญชวนให้กองทุนบำนาญเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ (United Nations Joint Staff Pension Fund) เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเลขาธิการสหประชาชาติรับที่จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหประชาชาติในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งว่า ไทยมีศักยภาพในการผลิตสินค้าหลายประเภทที่ตรงตามความต้องการของสหประชาชาติ รวมทั้งสินค้าเกษตร ดังนั้น ไทยจึงสนใจที่จะเพิ่มการขายสินค้าและบริการให้กับหน่วยงานในกรอบสหประชาชาติ ซึ่งรวมทั้ง World Food Programme ทั้งนี้ เลขาธิการสหประชาชาติรับที่จะสั่งการเรื่องดังกล่าวให้เป็นพิเศษ
ทางด้านเลขาธิการสหประชาชาติ ได้แสดงความชื่นชมบทบาทการเป็นผู้นำของไทยในด้านต่างๆ ภายในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการป้องกันปราบปรามยาเสพติดและการที่ไทยเสนอความร่วมมือ 4 ฝ่ายให้เป็นเรื่องของภูมิภาค อีกทั้งยังชื่นชมบทบาทของไทยในด้าน HIV/AIDS หรือการส่งเสริมสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเลขาธิการสหประชาชาติ รับว่าจะส่งผู้แทนคือ นาย Razali Ismail มาไทยเพื่อหารือกับรัฐบาลไทยเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการปรองดองแห่งชาติของพม่า ทั้งนี้ สหประชาชาติเองก็เห็นความสำคัญของไทยในการเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคเช่นกัน จึงได้เลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งสำนักงาน ESCAP นอกจากนี้ เลขาธิการสหประชาชาติได้เชิญ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอด Financing for Development ซึ่งจะจัดที่ประเทศเม็กซิโก ในเดือนมีนาคม 2545 ด้วย
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 0 2629 9292, 0 2629 9491 โทรสาร 0 2281 4450--จบ--
-สส-