สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง ทิศทางการตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชนต่อพรรคการเมือง และความหวังต่อสถานการณ์การเมืองภายหลังการเลือกตั้ง โดยเมื่อถามถึงความหวังต่อการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้จะได้รัฐบาลใหม่ที่ดีขึ้นหรือไม่ พบว่า ประชาชนเกินกว่าครึ่งเล็กน้อย 52.4% ไม่ค่อยมีความหวังถึงไม่มีความหวังเลยว่าจะได้รัฐบาลที่ดีขึ้น ในขณะที่ 47.6% ค่อนข้างมีความหวังถึงมีความหวังมากที่สุด
นอกจากนี้ ประชาชน 44.9% ยังไม่เชื่อว่าเลือกตั้งใหม่แล้วจะลดความขัดแย้งทางการเมืองลงได้ ในขณะที่ 18% เชื่อว่าจะลดความขัดแย้งลงได้ และอีก 37.1% ไม่แน่ใจ โดยพรรคการเมืองที่ประชาชนตั้งใจจะเลือกในครั้งนี้ส่วนใหญ่ 51.9% ระบุว่ายังเป็นพรรคเดิม ขณะที่อีก 42.6% บอกว่ายังไม่ตัดสินใจ และอีก 6.5% บอกว่าเปลี่ยนไปเลือกพรรคอื่นที่ต่างจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว
ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 58.1% คิดว่าน่าจะแข่งขันกันหลายๆ พรรค เพราะจะได้มีให้เลือกหลายพรรค, เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองอื่นๆ ได้แสดงความสามารถในการบริหารประเทศ เป็นต้น ในขณะที่ประชาชน 41.9% คิดว่าน่าจะแข่งขันกันสองพรรคใหญ่ เพราะจะได้เสียงที่ชัดเจนเด็ดขาด, ไม่ทำให้เกิดความยุ่งยากในการบริหารประเทศ, จะได้รัฐบาลพรรคเดียว เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อถามว่าจะลงคะแนนอย่างไร ถ้านักการเมืองที่ชื่นชอบแต่อยู่ในพรรคการเมืองที่ไม่ชอบ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 44.5% จะเลือกเฉพาะคนไม่เลือกพรรค ส่วนอีก 25% จะเลือกทั้งคนทั้งพรรค โดยอีก 13.4% จะไม่เลือกทั้งคน ไม่เลือกทั้งพรรค และอีก 17.1% จะกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน
อย่างไรก็ดี จากปัญหาความขัดแย้งในพรรคเพื่อไทยจะส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งหรือไม่นั้น พบว่าประชาชน 50.9% มองว่าไม่มีผลกระทบ ขณะที่ประชาชนในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันอีก 49.1% มองว่ามีผลกระทบ
ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 65.6% ระบุว่ามีความตั้งใจจะไปเลือกตั้ง ขณะที่ 24% ระบุว่าไม่ไป และอีก 10.4% ระบุว่ายังไม่แน่ใจ
อนึ่ง ผลการสำรวจดังกล่าว มาจากความคิดเห็นของประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 2,318 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 15-23 เมษายน 2554