ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.1860/2567 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 โจทก์ ยื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร จำเลยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ กรณีกล่าวหาจำเลยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2558 อันมีลักษณะพาดพิงสถาบัน ชั้นพิจารณา จำเลยให้การปฏิเสธ และยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล
โดยศาลอ่านคำพิพากษาต่อหน้าจำเลยในวันนี้ ประเด็นสรุปว่า พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ และจำเลยแล้ว เห็นว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยเป็นผู้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตามคลิปวิดีโอ หมาย วจ.1 และ วจ.2 โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้องหรือไม่
โจทก์มีพยาน ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ และพยานปากนายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล มาเบิกความยืนยันว่า ดูคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 แล้ว เห็นว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำให้สัมภาษณ์จำเลยจริง แม้โจทก์ไม่มีคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยฉบับเต็มมาเป็นหลักฐาน แต่เมื่อพยานโจทก์ต่างยืนยันว่าคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 เป็นคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยบางช่วงบางตอน และพยานโจทก์เห็นว่า สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นการตัดต่อคลิปวิดีโอ ไม่ปรากฏว่าเป็นการตัดต่อในส่วนใด และส่วนไหนไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับความจริง จึงเป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ มาสนับสนุนหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ประกอบกับจำเลยยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่า บุคคลและเสียงในคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 เป็นจำเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยให้สัมภาษณ์นักข่าวที่สาธารณรัฐเกาหลี ตามคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้อง ไม่ได้เป็นการตัดต่อ หรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความให้ร้ายจำเลย
ในส่วนของข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์ตามฟ้องนั้น เป็นการพูด หรือแสดง หรือพาดพิง หรือทำให้เข้าใจใจได้ว่าเป็นการกล่าวถึง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 อันมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์หรือไม่ เห็นว่า ข้อความที่จะถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องได้ความว่าการใส่ความนั้นระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ หรือเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่รู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรงการใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่า หมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ส่วนการดูหมิ่น ต้องพิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าวถึงขนาดทำให้อับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว อีกทั้งความผิดฐานหมิ่นประมาท และดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการใช้ข้อความหรือคำพูด ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า เมื่อวิญญูชนโดยทั่วไปได้พบเห็น หรือได้อ่าน หรือได้ยินข้อความนั้นแล้ว จะส่งผลให้ผู้ถูกกระทำเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังหรือไม่
เมื่อพิจารณาข้อความหรือถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของจำเลย มิได้ใช้คำว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9" โดยตรง และไม่ได้ใช้ถ้อยคำสรรพนามที่อ้างถึงบุคคลที่สาม โดยมีคำราชาศัพท์หรือถ้อยคำที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด หากแต่ใช้คำสรรพนามบุรุษที่ 3 ว่า "เขา" เรียกแทนบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือบุคคลอื่นหลายคนรวมกัน และยังมีคำว่า "องคมนตรี" "ทหาร" "Palace Circle" และ "คนในวัง" ล้วนแต่อยู่ในประโยคคำให้สัมภาษณ์ของจำเลย เห็นว่า พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาที่โจทก์นำมาเป็นพยานเพียงปากเดียว กับพยานบุคคลภายนอกที่โจทก์อ้างมา ล้วนแต่เข้าร่วมชุมนุมขับไล่จำเลยทางการเมือง อันส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีอคติต่อจำเลย จึงมีข้อสงสัยถึงความเป็นกลาง และต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง
พยานบุคคลดังกล่าวของโจทก์ จึงไม่อาจแสดงให้เชื่อได้ว่า วิญญูชนทั่วไปจะตีความข้อความที่จำเลยกล่าวไปในลักษณะที่พยานเหล่านั้นเข้าใจ ส่วนพยานที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจของโจทก์ ก็ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากพยานเบิกความตอบคำถามค้านสอดคล้องกันว่า ในระหว่างการดำเนินคดีกับจำเลยนั้น ความจริงพยานต่างเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสั่งฟ้องจำเลยได้ เพราะคลิปวิดีโอของกลาง ไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นต้นฉบับ ทั้งไม่สามารถสืบหาบุคคลที่นำคลิปลงเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบกับเมื่อพิจารณาเพจแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ยูทูป ที่นำคลิปวิดีโอให้สัมภาษณ์ของจำเลยมาเผยแพร่ลงในระบบคอมพิวเตอร์ พบว่าบุคคลที่นำมาเผยแพร่ ซึ่งเป็นคนที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอมาตั้งแต่แรก ล้วนเข้าใจตรงกันว่าจำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจและรัฐประหาร โดยพาดพิงถึงนายสุเทพ กับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น ไม่ได้เข้าใจว่าถ้อยคำให้สัมภาษณ์นั้น จะพาดพิงหรือสื่อความหมายหรืออ้างว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ทรงอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร
พยานหลักฐานทั้งหมดที่โจทก์นำสืบมา จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยกล่าวข้อความตามคำฟ้อง โดยเจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 หรือเมื่อวิญญูชนทั่วไปได้พบเห็นหรืออ่านข้อความที่จำเลยกล่าวแล้ว จะเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ในขณะที่การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมา จึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามฟ้อง
สำหรับข้อหาร่วมกันแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง แต่มิได้นำพยานหลักฐานใด ๆ มานำสืบเกี่ยวกับข้อหานี้เลย จึงรับฟังไม่ได้
สำหรับความผิดฐานร่วมกันกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหานี้