IN FOCUS: รำลึก 7 ปี 9/11...เปิดบันทึกโศกนาฏกรรมมสะเทือนขวัญแห่งอเมริกันชน

ข่าวต่างประเทศ Friday September 12, 2008 15:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ย้อนไปเมื่อ 7 ปีก่อน หลายคนคงยังจำภาพที่เครื่องบิน 2 ลำของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์เที่ยวบินที่ 11 และสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175 พุ่งชนตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ อาคารแฝดระฟ้าที่เปรียบประดุจศูนย์กลางทางการเงินของโลกซึ่งสะท้อนถึงระบบทุนนิยมและทรงความหมายอันเอกอุในทางสถาปัตยกรรมแห่งยุคศตวรรษที่ 20 ภาพดังกล่าวมิใช่การโปรโมทภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ทุนสร้างมโหฬารที่มีฉากหลังเป็นสงครามแต่ประการใด หากสิ่งที่เห็นเป็น "เรื่องจริง" ที่มีคนจำนวนมาก "บาดเจ็บจริง" และ "เสียชีวิตจริง" และนับจากนั้น วันที่ 11 กันยายนก็ไม่ใช่วันธรรมดาสามัญอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นอีกหนึ่งวันที่ประวัติศาสตร์โลกจะต้องจารึกตราบชั่วลูกชั่วหลาน
กลุ่มควันไฟและเปลวเพลิงขนาดมหึมาที่พวยพุ่งประหนึ่งเมฆมืดดำปกคลุมผืนฟ้าในมหานครนิวยอร์ก คือฉากหลังของภาพตึกแฝดสูงถล่มที่ทำให้หัวใจผู้คนทั้งโลกแตกสลาย และส่งผลให้เศรษฐกิจย่อยยับไปในชั่วพริบตา แต่ก็ยังถือว่ามีมูลค่าความเสียหายเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับชีวิตของผู้บริสุทธิ์จำนวน 2,973 คน ที่ตกเป็นเหยื่อความเคียดแค้นชิงชังของกลุ่มคนเพียงหยิบมือเดียว
ประโยคคำถามต่างๆดังสะท้อนก้องกังวาลอยู่ในห้วงความคิด "นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม" "เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" และ "ใครคือผู้บงการ"
"อุซามะ บิน ลาเดน" ผู้นำเครือข่ายก่อการร้าย "อัล-กอลอิดะห์" คือจอมวายร้ายหมายเลขหนึ่งที่ผู้ถูกกระทำอย่างสหรัฐหมายหัวและต้องการลากตัวไปสังหารมากที่สุด ขณะที่สมุนอีก 2 คน คือ นายคาลิด ชีค โมฮัมเหม็ด จอมวางแผนการก่อวินาศกรรมคนสำคัญ และนายโมฮัมเหม็ด อัตตา หัวหน้าทีมปฏิบัติการคือเป้าหมายลำดับถัดไป
การเปิดฉากไล่ล่าอาชญากรครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กลายเป็นที่จับจ้องของคนทั้งโลก จากหลักฐานทางภาพข่าวที่ระบุให้เห็นถึงการประชุมเพื่อเตรียมลงมือก่อวินาศกรรม รวมถึงภาพชีวิตประจำวันของสมาชิกกลุ่มอัล-กออิดะห์ ที่ฝึกซ้อมอยู่บริเวณเทือกเขาในอัฟกานิสถาน
สำนักข่าวทั่วโลกพร้อมใจนำเสนอข่าวการวินาศกรรมสะท้านโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับจะตอกย้ำความภาพแห่งความเลวร้ายให้ยิ่งติดตา และที่ยิ่งน่าเศร้าใจไปกว่านั้น คือ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของคนร้ายเพียงหยิบมือเดียวผู้หวังโจมตีเป้าหมาย แต่ผลพลอยได้กลับเป็นการพรากลมหายใจของ "เพื่อนมนุษย์" โดยหารู้ไม่ว่า อานุภาพในการทำลายล้างครั้งนี้ยังกัดกร่อนชีวิตและจิตวิญญานของทุกคนบนโลก ให้ต้องอยู่ด้วยความหวาดผวา เนื่องจากไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย เพราะต่อให้วันนี้ "บินลาเดน" จะถูกฆ่าตาย แต่ก็มิได้หมายความว่า การก่อการร้ายจะตายไปพร้อมกับเขา ดังนั้น สันติภาพและความสงบที่ทุกคนโหยหาจึงอาจไม่มีอยู่จริง
แม้ว่าสหรัฐจะประกาศสงครามกับขบวนการก่อการร้าย และขอความร่วมมือจากหลายประเทศให้เข้าร่วมอยู่ในบ่วงของวังวนแห่งการล้างแค้น แต่ขบวนการก่อการร้ายระดับสากลที่มี “บินลาเดน" เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเพลี้ยงพล้ำหรืออ่อนแอ แต่กลับยิ่งทวีความรุนแรงและแสดงแสนยานุภาพทำลายล้างที่ยากจะขจัดให้ราบคาบไปจากโลกใบนี้
ความเหิมเกริมของผู้ก่อการร้ายทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน เพราะแม้เหตุวินาศกรรมช็อคโลกจะผ่านพ้นไปหลายปี แต่กลุ่มคนเหล่านี้ก็ยังไม่วายสร้างปัญหาก่อกวนอย่างไม่จบสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันระลึกครบรอบ 9/11 ของทุกปี ที่ “บินลาเดน" มักจะปรากฏตัวให้เห็นทางวิดีโออยู่เนืองๆ ดังนั้น การออกมาเผยโฉมแต่ละครั้งจึงราวกับเป็นการยั่วโทสะของผู้นำแห่งดินแดนโลกเสรีว่าช่าง “ไร้น้ำยา" เพราะแม้สหรัฐจะพลิกแผ่นดินหา แต่ก็จนปัญญาเต็มที
ซ้ำร้ายกลุ่มอาชญากรสากลมิได้หมายที่จะทำลายขวัญชาวสหรัฐเพียงแค่ทุกวันที่ 11 กันยายนเท่านั้น เพราะเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เปิดเผยว่า เครือข่ายอัล-กออิดะห์ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอเพื่อปลุกระดมให้ชาวมุสลิมซึ่งสนับสนุน การทำสงครามศักดิ์สิทธิ์หรือจีฮัด ใช้อาวุธชีวภาพ เคมี และนิวเคลียร์ เพื่อโจมตีชาติตะวันตกให้วายวอดด้วยเช่นกัน
"ผู้ร้ายตัวจริง"
อย่างไรก็ตาม การติดตามข่าวสารและฟังความข้างเดียวอาจมิใช่วิสัยที่ดีนักของผู้รับสารที่อาจถูกข้อมูลที่กล่อมด้วยความหวาดระแวงบดบัง จนมองไม่เห็นต้นตอของความจริงและจุดเปลี่ยนของคำถามที่ว่า "ใครคือผู้ร้ายตัวจริง"
"จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช" กลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปเสียเอง เมื่อ 3 ปีให้หลัง ภาพยนตร์เรื่อง Fahrenheit 9/11 ของผู้กำกับไมเคิล มัวร์ ที่มีเนื้อหาเสียดสีบุชและสงครามอิรักได้สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก จนนำไปสู่สมมุติฐานที่ว่า การถล่มตึกเวิลด์เทรดครั้งนั้นอาจเป็นแผนการเพื่อสร้างความชอบธรรมให้สหรัฐประกาศ "สงครามก่อการร้าย" นำกองกำลังทหารสหรัฐบุกโจมตีพื้นที่ในอิรักได้อย่างไม่เคอะเขิน
ฉากที่ทางการสหรัฐขอให้ประชาชนรายได้น้อยไปเป็นทหารในอิรักและต้องเสียชีวิตในดินแดนแห่งสงครามอันร้อนระอุ รวมถึงภาพทหารอเมริกันเดินถือปืนกันขวักไขว่คลอไปกับเพลง "Santa clause is coming to town" ถือเป็นอีกหนึ่งในฉากตลกร้ายที่แฝงไว้ซึ่งอารมณ์ขันอันมืดมน และอาจให้หลายคน "ยิ้มทั้งน้ำตา"
จริงอยู่ว่า ข้อความจากสองย่อหน้าที่กล่าวมาข้างต้นมิอาจนำไปใช้อ้างอิงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ร้อยเปอร์เซนต์ หากแต่ประเด็นสำคัญมิใช่อยู่ที่เนื้อหา ทว่า เรื่องเล่าบนแผ่นฟิล์มครั้งนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทำให้เราอนุมานได้ว่ายังมีชาวสหรัฐบางกลุ่มไม่เชื่อในสิ่งที่รัฐบาลคอยพูดกรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ในปีพ.ศ.2549 ผลสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันที่จัดทำโดยหนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทมส์ และสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสระบุว่า มีชาวอเมริกันเพียงร้อยละ 16 เท่านั้น "เชื่อ" ในสิ่งที่รัฐบาลอเมริกันพูดเกี่ยวกับการก่อการร้ายครั้งนั้นว่าเป็นความจริง แต่ที่เหลือกลับคิดในทางตรงกันข้าม
ภาพลักษณ์ของสหรัฐดูจะยิ่งเลวร้ายมากขึ้น เมื่อประธานาธิบดีฟิเดล คาสโตร ผู้นำคิวบาได้ออกมาประกาศว่า “บุช" โกหกคำโตและชี้ว่าเหตุการณ์ 9/11 เป็นเรื่องลวงโลกทั้งเพ โดยให้เหตุผลว่าการโจมตีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ ในกรุงวอชิงตันนั้นก็เป็นฝีมือจากการถูกจรวดยิง มิใช่ถูกเครื่องบินชนอย่างที่เป็นข่าว เนื่องจากหลักฐานโครงสร้างของอาคารที่ปรากฏเป็นรูกลวงนั้นเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเครื่องยิงจรวดเท่านั้น
ทั้งนี้ คาสโตรระบุว่า ความจริงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน อาจจะถูกเก็บเป็นปริศนาที่ไม่มีทางรู้ได้ตลอดกาล และบทความความยาว 4,256 คำของผู้นำคิวบาในครั้งนั้นก็มิได้พูดว่า อุซามะ บินลาเป็นผู้โจมตีสหรัฐแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะถึงวาระครบรอบ 7 ปีเหตุวินาศกรรมสหรัฐ บุชเพิ่งออกมาประกาศปรับยุทธศาสตร์ด้านนโยบายอิรักไปสดๆร้อนๆ ด้วยการสั่งถอนทหารออกจำนวน 8,000 นาย จากทั้งหมด 144,000 นาย ภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า เพื่อโยกไปเสริมกำลังในอัฟกานิสถานที่เผชิญสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานกว่าแทน ซึ่งเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา ทางสำนักข่าวเอพีได้เปิดเผยว่า ยอดทหารสหรัฐที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติภารกิจในสมรภูมิรบอิรักนับตั้งแต่เข้าประจำการเมื่อเดือนมีนาคมปี 2546 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4,098 คน แต่ยังน้อยกว่าทหารอิรักที่ตายไปมากกว่าราว 12,000 คน
"สงคราม" นำมาแต่ความสูญเสีย
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มีนักเขียนท่านหนึ่งได้แสดงทัศนะไว้อย่างน่าคิดว่า "สงคราม" และ "การก่อการร้าย" ล้วนมาจากการสนับสนุนของเงินจำนวนมหาศาล และแผนการทำลายตึกแฝดเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดปัจจัยที่เรียกว่า "เงิน" ซึ่งต้องใช้ในการ "ลงทุน" ไม่ต่างอะไรกับการทำธุรกิจใหญ่ๆที่ไม่ใช่แค่การขายน้ำอัดลม แต่เป็น"การฆ่าคนหมู่มาก" ขณะที่นักวิเคราะห์บางท่านมองว่า สถานการณ์ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ คือผลผลิตที่ไม่ได้ตั้งใจของระบบ "ทุนนิยม"
การลุกขึ้นมาจัดระเบียบโลกใหม่ภายใต้การนำของสหรัฐหลังจากที่บุชลั่นวาจาว่า “หากใครไม่อยู่เข้าข้างสหรัฐ ฝ่ายนั้นคือศัตรู" ได้ปูทางไปสู่ความเปลี่ยนแปลงต่อระเบียบโลกในหลายมิติ ซึ่งจากรายงานผลการศึกษาจากหลายแห่งระบุว่า การเหยียดเชื้อชาติและวัฒนธรรมนั้นเริ่มมากขึ้นทุกที
ภาพกำแพงเบอร์ลินที่ถูกทำลายและกลายเป็นสัญลักษณ์ว่า สงครามเย็นได้สิ้นสุดลงแล้วนั้น ช่างแตกต่างอย่างสุดขั้วกับภาพตึกเวิลด์เทรดที่พังถล่มลงมาสู่สายตาคนทั้งโลกซึ่งเสมือนลางร้ายที่เตือนว่า สงครามครั้งใหม่ได้อุบัติขึ้นอีกครั้ง และดูเหมือนว่ามหากาพย์แห่งสงครามเรื่องนี้จะไม่มีตอนจบ
บัดนี้นับเป็นเวลา 7 ปีแล้วที่เหตุวินาศกรรมสะเทือนขวัญ 9/11 ยังคงทิ้งปริศนาและเป็นที่มาของคำถามมากมายซึ่งยังไร้คำตอบ การจัดงานรำลึกถึงผู้เสียชีวิต ณ กราวด์ ซีโร่ จุดที่เคยเป็นที่ตั้งของอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ที่มหานครนิวยอร์ก จึงดูเหมือนเป็นธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติกันมาทุกปี แต่จะดีกว่าหรือไม่ หากเรามาเรียนรู้ถึง “มรดกเลือด" ที่ได้รับจากเหตการณ์ครั้งนั้น ที่อาจนำไปสู่ “คำตอบ" ข้อหนึ่งที่ว่า การประกาศเป็นศัตรูและเปิดฉากสงครามทำลายล้างที่ขับเคลื่อนกันด้วยฟันเฟืองแห่งความเคียดแค้นชิงชัง อันหลอมรวมเข้ากับความโลภโมโทสัน และทะยานอยากในอำนาจ นั้น แท้จริงแล้วสิ่งที่จะได้กลับมาคงมีแค่ "คราบน้ำตา" และ "หายนะ" เท่านั้นเอง...

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ