ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานดัชนีราคาข้าวในเดือนสิงหาคม 54 โดยดัชนีราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับ 192.26 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 จากเดือนก่อนหน้า(MoM) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY) ทั้งนี้เนื่องจากตลาดรับรู้ราคาข้าวที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จากนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลชุดใหม่
ขณะที่ดัชนีราคาขายส่งหน้าโรงสีก็เพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 185.32 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 MoM และร้อยละ 8.6 YoY เนื่องจากข่าวการจะกลับมาส่งออกข้าวนึ่งของอินเดียส่งผลให้ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมราคาข้าวนึ่งหน้าโรงสีอ่อนตัวลง แต่ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมราคาข้าวนึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่ออินเดียมีปัญหาในการส่งออก ส่วนดัชนีราคาส่งออกข้าวทุกประเภทของไทยเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 182.95 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 MoM และร้อยละ 14.3 YoY เนื่องจากบรรดาโรงสีและพ่อค้าบางรายยังคงรับซื้อข้าวเก็บสต็อก จากการคาดการณ์ว่าราคาข้าวมีแนวโน้มสูงขึ้น
"ในเดือนสิงหาคม 54 ดัชนีราคาข้าวทุกประเภทปรับเพิ่มสูงขึ้น ทั้งเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 54 และเดือนสิงหาคม 53" เอกสารศูนย์วิจัย ระบุ
ศูนย์วิจัยฯ ระบุว่า ประเด็นที่น่าสนใจคือ ดัชนีราคาข้าวส่งออก5% ทั้งของไทยและเวียดนามในเดือนสิงหาคม 54 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 146.36 และ 161.57 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 และร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 54 เนื่องจากความต้องการซื้อข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากอินโดนีเซีย บังคลาเทศ อิรัก และจีน จากที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 54 ดัชนีราคาข้าวของทั้งสองประเทศยังหดตัวถึงร้อยละ 8.9 และ 7.4 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ยังเป็นการขยับขึ้นรับกับข่าวการปรับนโยบายการแทรกแซงตลาดข้าวเป็นนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลไทย
อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิงหาคมราคาข้าวส่งออกของไทยในตลาดโลกยังสูงกว่าเวียดนามเพียงประมาณ 5-20 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน(ทั้งนี้แล้วแต่ประเภทข้าว) นับว่าเป็นช่วงห่างของราคาข้าวที่ขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นจากในช่วงระยะปี 52-53 ที่ราคาห่างกันประมาณ 100-200 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน ทำให้ภาวะการแข่งขันของข้าวไทยมีแนวโน้มดีขึ้น
แต่ประเด็นที่ประเทศผู้นำเข้าข้าวของไทยยังกังวลคือ ราคาข้าวส่งออกของไทยอาจจะมีแนวโน้มปรับขึ้นตามราคาข้าวในประเทศ อันเป็นผลจากมาตรการรับจำนำข้าว โดยเมื่อเปรียบเทียบกับราคาส่งออกข้าวของประเทศผู้ส่งออกข้าวรายอื่นๆ แล้ว ราคาข้าวของไทยยังอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะสหรัฐฯ และปากีสถาน ส่วนอินเดียนั้น ในเดือนสิงหาคมนี้ยังไม่มีการรายงานราคาข้าวที่ไม่ใช่ข้าวบัสมาติ(ข้าวขาวและข้าวนึ่ง) เนื่องจากรัฐบาลประสบปัญหาการจัดสรรโควตาให้กับผู้ส่งออก ในขณะที่ราคาส่งออกข้าวของอุรุกกวัยขยับเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงกว่าไทย
ส่วนราคาข้าวในเดือนกันยายน 54 ประเมินว่า จะยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 54 จากปัจจัยหนุนสำคัญ คือ การร่นประกาศนโยบายรับจำนำข้าวให้เร็วขึ้นเป็นวันที่ 7 ตุลาคม 54 จากเดิมที่คาดว่าจะประกาศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 54 ส่งผลให้ราคาข้าวยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากที่คาดว่าจะอ่อนตัวในช่วงปลายเดือนกันยายน อันเป็นผลมาจากข้าวนาปรังรอบ 2 ออกสู่ตลาด กอปรกับภาวะน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตข้าว นอกจากนี้ ยังได้รับแรงหนุนจากการหันกลับมาซื้อข้าวไทยของประเทศผู้ซื้อข้าว โดยเฉพาะอินโดนีเซียและบังคลาเทศ เนื่องจากราคาข้าวของเวียดนามขยับขึ้นไปอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าไทย และปัญหาการส่งออกข้าวของอินเดีย เนื่องจากปัญหาในการจัดสรรโควตาให้กับผู้ส่งออก
ขณะที่ราคาข้าวส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 54 ศูนย์วิจัยฯ คาดว่า น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการข้าวในตลาดโลกยังอยู่ในเกณฑ์สูง อย่างไรก็ตาม ความชัดเจนของการประกาศนโยบายรับจำนำในวันที่ 7 ตุลาคม 54 ซึ่งหลังจากนั้นจะมีการกำหนดเงื่อนไขการรับจำนำในรายละเอียดในการประชุมคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ(กขช.)ในช่วงต้นเดือนกันยายนนี้ คาดว่าจะช่วยลดความผันผวนของราคาข้าวอันเนื่องจากกระแสข่าวต่างๆ ที่สร้างความกดดันต่อราคาข้าว
นอกจากนี้ ประเด็นที่จะต้องติดตาม คือ สภาพอากาศที่แปรปรวนอาจสร้างความเสียหายให้กับผลผลิตข้าวนาปรังรอบ 2 ที่จะออกสู่ตลาดในช่วงไตรมาส 3/54 และข้าวนาปีฤดูการเพาะปลูก 54/55 ที่จะออกสู่ตลาดในช่วงไตรมาส 4/54 อาจจะส่งผลให้ราคาข้าวเพิ่มสูงกว่าการคาดการณ์ไว้ รวมทั้งผลผลิตข้าวของเวียดนามที่จะออกสู่ตลาดในช่วงไตรมาส 3/54 (ผลผลิตประมาณร้อยละ 30 ของผลผลิตข้าวปี) และการจัดสรรโควตาให้กับผู้ส่งออกข้าวของอินเดีย ซึ่งมีผลต่อทิศทางราคาข้าวในช่วงเหลือของปี 54 และช่วงต้นปี 55