
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่มีต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนว่า ตอนนี้เกิดภาวะชะงักงันกันไปหมด ไม่รู้จะไปซ้าย-ขวา หน้า-หลัง ทั้งนี้ ตนย้ำมาตลอดว่าต้องการเห็นความชัดเจนโดยด่วน ของรัฐบาลที่มีความชอบทางกฏหมาย มีความสามารถในการบริหารคณะรัฐมนตรี (ครม.) ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยอยู่ในภาวะที่มีอุปสรรครอบด้าน ทั้งภายนอก ภายใน และสถานการณ์ชายแดน ถ้ารัฐบาลไม่เข้มแข็ง เอกชนก็เดินลำบาก
ส่วนหากจะมีการยุบสภาในช่วงนี้ หรือใน 4 เดือนข้างหน้า จะกระทบต่อเศรษฐกิจแตกต่างกันอย่างไรนั้น นายพจน์ กล่าวว่า ความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นนาทีนี้มีผลกระทบอยู่แล้ว การเป็นรัฐบาลอีก 4 เดือน เป็นคำตอบทางการเมือง คนละส่วนกับนโยบายเรื่องเศรษฐกิจที่ต้องการการขับเคลื่อนในระยะยาว

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยอมรับว่า มีความกังวลการเบิกจ่ายงบประมาณ ที่ 11 เดือนแรกของงบปี 68 สามารถเบิกไปได้แค่ 50% ซึ่งต่ำกว่าเป้าเฉลี่ยที่ประมาณ 60%
ส่วนความเห็นต่อสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ นายเกรียงไกร มองว่า ในมุมเอกชน โดยเฉพาะ ส.อ.ท. มองว่าในเมื่อการเมืองไม่ลงตัว การยุบสภาทันทีและเริ่มต้นใหม่ เมื่อเทียบกับต้องรอไปอีก 4 เดือนแล้วยุบสภานั้น มองว่าการทอดเวลาไปท่ามกลางความไม่แน่นอน ย่อมไม่เป็นผลดีอยู่แล้ว
"ภาคเอกชนชอบให้ทำเร็ว ๆ จบเร็ว ๆ ตั้งเร็ว ๆ ส่วนหน้าตาของรัฐบาลใหม่ อยากได้คนที่มีความรู้ คนเก่ง คนดี และกล้าตัดสินใจ" นายเกรียงไกร กล่าวพร้อมระบุว่า ถ้าวันนี้ยุบสภา และนำเสนอเพื่อรอโปรดเกล้าฯ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งภายในกรอบเวลา 45 วัน และหลังเลือกตั้งต้องฟอร์มรัฐบาล ใช้เวลาอีก 2-3 เดือน ทำให้โดยรวมเราจะเสียเวลาไป 5-6 เดือน ดังนั้น ถ้ากรณียุบสภาในเวลาอีก 4 เดือน ก็ต้องทอดเวลาเพิ่มไปถึง 9-10 เดือน
"ในช่วง 9-10 เดือน ในแง่ของนักลงทุนก็ต้อง wait and see ข้าราชการก็ทำไป แต่ต้องทำแบบชะลอ ๆ คอยดูทิศทาง ไม่เต็มที่ ดังนั้น สิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขก็จะต้องใช้เวลา นี่เป็นสิ่งที่เรากังวล" นายเกรียงไกร กล่าว