
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวภายหลังการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกระทรวงการคลัง โดยยืนยันว่า รัฐบาลจะเร่งเดินหน้า เพื่อผลักดันให้รถยนต์เศรษฐกิจไทยพ้นจากหล่ม ไม่ตกเหว ซึ่งทุกฝ่ายเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในเรื่องนี้ และจะร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ กันดำเนินการอย่างเต็มที่ ภายใต้การรักษาเสถียรภาพทางการคลังอย่างเข้มข้น
สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เตรียมผลักดันออกมาในระยะนี้ คือ โครงการคนละครึ่ง พลัส วงเงินดำเนินการรวม 6.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น การดำเนินการผ่านการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.4 ล้านราย วงเงิน 22,000 ล้านบาท และในสัปดาห์หน้า เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการ "คนละครึ่งพลัส" สำหรับประชาชนทั่วไป 20 ล้านคน

นายเอกนิติ กล่าวว่า ในส่วนนี้จะใช้เม็ดเงินจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท และงบกลางอีก 19,000 ล้านบาท คาดว่าเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนได้ วันที่ 20-26 ต.ค.68 ขณะที่ร้านค้าลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.68 โดยสามารถลงทะเบียนได้จนกว่าจะจบโครงการ และเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่ 29 ต.ค. จนถึงสิ้นเดือน ธ.ค.68
จากนั้น ในการประชุม ครม.วันที่ 14 ต.ค.68 กระทรวงการคลัง จะเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยเฉพาะเมืองรอง โดยจะให้นำค่าใช้จ่ายในการเที่ยวเมืองรอง ไปหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ขณะเดียวกัน ในช่วง 4 เดือนของการบริหารรัฐบาลชุดนี้ จะเร่งกระตุ้นให้หน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ เร่งการจัดประชุมสัมมนา เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยพบว่าส่วนราชการมีงบประมาณในส่วนนี้ราว 3-4 พันล้านบาท และรัฐวิสาหกิจอีก 3-4 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าหากสามารถผลักดันในส่วนนี้ได้ ก็จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ได้

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการจะช่วยเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว ผ่านการเพิ่มทักษะพ่อค้า แม่ค้ารายย่อย จำนวน 1 แสนราย ซึ่งใช้เม็ดเงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยจะเป็นการอบรมเพิ่มทักษะ เช่น การขายออนไลน์ การจัดทำบัญชีแบบดิจิทัล ซึ่งจะช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ด้วย
ขณะเดียวกัน จะเร่งสนับสนุนการออมภาคประชาชน เพื่อให้มีเงินใช้ยามเกษียณ ผ่านการซื้อสลากแบบ 6 หลัก (L6) ผ่านระบบออนไลน์ สำหรับผู้ที่ไม่ถูกรางวัล โดยจะมีการคืนเงิน ส่วนรายละเอียดของโครงการ ยังอยู่ระหว่างการหารือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายใน 4 เดือนนี้อย่างแน่นอน
สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทนั้น นายเอกนิติ ระบุว่า เริ่มเห็นการอ่อนค่าลงบ้างแล้ว โดยก่อนหน้านี้ ได้หารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยได้เน้นย้ำว่าจะต้องวิเคราะห์ให้ถูกต้องว่าการแข็งค่าของเงินบาทมีสาเหตุมาจากอะไร เพื่อหามาตรการแก้ไขแบบเกาให้ถูกที่คัน
ส่วนที่มีการถามว่าทองคำมีผลต่อการแข็งค่าของเงินบาทหรือไม่นั้น รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุว่า อาจจะมีผลบ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดยังมีธุรกรรมอื่นอีกด้วย เช่น ข้อมูลบัญชีดุลการชำระเงินที่มีความคลาดเคลื่อนทางสถิติ รวมถึงอาจจะมีเรื่องเงินนอกตลาด เงินเทา ที่อาจเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งดำเนินการ
"หลังจากนี้ กระทรวงการคลัง จะมีแผนเกี่ยวกับการเร่งผลักดันเศรษฐกิจของประเทศออกมาอย่างต่อเนื่องทุกอาทิตย์ ทุกเดือน และภายใน ธ.ค.68 แผนจะต้องออกหมด และในเดือน ม.ค.69 จะต้องเก็บเกี่ยวผลผลิตจากแผนที่วางไว้" นายเอกนิติ กล่าวด้านนายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้รับฟังข้อมูลจากหลายหน่วยงาน ทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ซึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของเศรษฐกิจไทย และได้นำมากลั่นกรองเป็นแนวนโยบาย Quick-Big-Win
โดยรัฐบาลจะเร่งพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะตกท้องช้างในไตรมาส 4/2568 ให้ฟื้นขึ้น ซึ่งนโยบายที่เร่งผลักดันออกมานั้นไม่ใช่แค่สิ่งที่กระทรวงการคลังคิด แต่เป็นข้อมูลที่เห็นตรงกันกับหลายภาคส่วนว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้เติบโตช้า และอยากให้รัฐบาลช่วยกระตุ้นแบบใดบ้าง ซึ่งยุทธศาสตร์ต่าง ๆ แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นใน 4 เดือน แต่ก็ถือเป็นการวางรากฐานระยะยาว
ส่วนสถานการณ์ Government Shutdown ของสหรัฐฯ นั้น นายวรภัค เชื่อว่าในระยะสั้นจะยังไม่มีผลกระทบกับประเทศไทย เพราะสถานการณ์เพิ่งเกิดขึ้น และเรื่องนี้ตลาดรับรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ ดังนั้นผลกระทบระยะสั้น จึงน่าจะอยู่ที่สหรัฐฯ เป็นหลักมากกว่า โดยเฉพาะจากการเทขายหุ้น
"ในส่วนของไทย ได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามดูผลกระทบทั้งในระยะกลาง และระยะยาวแล้ว ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่" รมช.คลัง ระบุนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส โดยหลักจะเน้นไปที่กลุ่มไมโครเอสเอ็มอีที่อยู่ในระบบภาษี โดยจากข้อมูลของกรมสรรพากร พบว่า ร้านค้าที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท จำนวน 3 พันร้านค้า และที่มีรายได้ตั้งแต่ 1.8 ล้านบาท ถึง 30 ล้านบาท จำนวน 2 พันร้านค้า รวมทั้งสิ้น 5 พันกว่าร้านค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านค้าที่ขายสินค้าและบริการ อาหาร-เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป