
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา รมว.พลังงาน ได้แถลงนโยบายพลังงาน เร่งเครื่อง "Quick Big Win" วางกรอบเป้าหมายชัด ลดค่าใช้จ่ายพลังงานให้ประชาชน สร้างความมั่นคงทางพลังงานผ่านการเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ ผลักดันเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับรากหญ้ายันภาคอุตสาหกรรม ติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้ลดหย่อนภาษี เดินหน้าให้ไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เน้นที่การสร้างรายได้ ลดรายจ่ายด้านพลังงานภาคประชาชน และมีโครงการโซลาร์ภาคประชาชน เร่งขับเคลื่อน "โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร" กว่า 1,200 ระบบ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7 แสนไร่ทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลคาดว่าจะเกิดเม็ดเงินผ่านการลงทุนกว่า 12,500 ล้านบาท ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ 87.5 เมกะวัตต์ และสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 0.6 ล้านตันต่อปี โดยนโยบายโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตรนั้นยังถูกหยิบยกขึ้นมาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ครั้งที่ 2/2568 อีกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568
ผู้เขียนเห็นว่าโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตรนั้นสอดคล้องกับแนวคิดการผสมผสานระหว่างการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และการเพาะปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ภายใต้พื้นที่เดียวกันหรือ "Agrivoltaics" และที่สำคัญคือระบบกฎหมายไทยมีพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ที่พร้อมรองรับ Agrivoltaics และนโยบาย Quick Big Win ในภาคพลังงาน หากกฎหมายมีความพร้อม "Quick" จึงพร้อมเกิดได้
โครงการพลังงานสะอาดเข้าถึงได้และมั่นคงสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (CASE for Southeast Asia) ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ได้ให้คำอธิบายว่า "Agrivoltaics" คือ การผสมผสานระหว่างการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และการเพาะปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ภายใต้พื้นที่เดียวกัน โดยแผงโซลาร์เซลล์จะถูกติดตั้งเหนือหรือระหว่างแปลงเพาะปลูก ช่วยให้การใช้ที่ดินมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการระเหยของน้ำ และสร้างสภาพภูมิอากาศขนาดเล็กที่เหมาะสมกับพืชที่ทนต่อร่มเงาได้ดี สำหรับประเทศไทยที่มีแสงแดดตลอดทั้งปีและภาคเกษตรกรรมที่แข็งแกร่ง Agrivoltaics จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอน แต่ยังสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว
นอกจากนี้ตัว Agrivoltaics แล้ว ในปัจจุบันยังมีแนวคิด "Aquavoltaic" ซึ่งมีลักษณะคือการนำแผงโซลาร์เซลล์ไปคร่อมแหล่งน้ำ เพื่อช่วยลดการระเหยน้ำจากแหล่งน้ำ ช่วยลดอุณหภูมิแผงและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแผงโซลาร์เซลล์อีกด้วย
เมื่อจะผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ก็ต้องมีการลงมือติดตั้งและใช้งานระบบผลิตไฟฟ้าดังกล่าว ในทางเทคนิคแล้ว ระบบผลิตไฟฟ้านี้จะประกอบด้วย ปั๊มน้ำโซลาร์เซลล์ คือ เครื่องที่สามารถปั๊มน้ำ หรือสูบน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือบ่อน้ำบาดาล สำหรับใช้ในพื้นที่เพาะปลูก พื้นที่ทำการเกษตร โดยเครื่องปั๊มน้ำโซลาร์เซลล์จะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตจากแผงโซลาร์เซลล์มาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าไว้ใช้กับชุดปั๊มน้ำ ซึ่งเป็นการนำเอาแผงโซลาร์เซลล์ใช้กับปั๊มน้ำ
ระบบที่ไม่มีระบบกักเก็บพลังงานเพื่อกักเก็บไฟฟ้าจะเหมาะกับพืชประเภทข้าวมากที่สุด เพราะว่าการปลูกข้าวนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องกำหนดเวลาการสูบน้ำแบบเคร่งครัดมากนัก โดยจะเน้นให้มีการสูบน้ำเมื่อมีแสงแดด แต่ในกรณีของพืชสวนที่ต้องมีการสูบน้ำแบบสม่ำเสมอต่อเนื่องอาจมีความจำเป็นต้องใช้ระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งมีทั้งระบบทางเคมีคือใช้แบตเตอรี่ และระบบกักเก็บทางพลังงานจลน์ กล่าวคือ เก็บน้ำไว้ที่สูง แล้วค่อย ๆ ปล่อยน้ำลงที่ต่ำ
ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ มีประโยชน์กับเกษตรกรคือสามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าที่ต้องใช้ในการสูบน้ำในช่วงฤดูร้อนหรือช่วงที่ใช้น้ำมาก ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ทำงานได้อย่างต่อเนื่องในช่วงกลางวันเมื่อมีแสงแดด นอกจากนี้ ระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์นั้นยังสามารถผลิตไฟฟ้า "สะอาด" เพื่อระบบรดน้ำอัตโนมัติที่ควบคุมการให้น้ำแบบหยดหรือแบบพ่นหมอกในแปลงพืช หรือโรงเรือน ระบบควบคุมสภาพอากาศภายในโรงเรือน เช่น ระบบระบายอากาศ ระบบควบคุมความชื้น และระบบให้ความร้อน ระบบไฟส่องสว่างภายในฟาร์มหรือบริเวณรอบ ๆ สวน จ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ในฟาร์มสัตว์เลี้ยง เช่น พัดลมระบายอากาศในโรงเรือนเลี้ยงไก่ ระบบให้อาหารอัตโนมัติ และระบบให้น้ำสำหรับสัตว์
จากลักษณะทางเทคนิคข้างต้นหากเกษตรกรประสงค์จะผลิตพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการสูบน้ำเพื่อการเกษตรแล้วย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการเข้าถึงและใช้ทรัพยากรน้ำ เช่น ทางน้ำชลประทานหรือบ่อน้ำบาดาล และขณะเดียวกันก็จะต้องมีการผลิตไฟฟ้าเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงการทำงานของปั๊มน้ำดังกล่าวเพื่อดึงเอาน้ำมาจากแหล่งน้ำ กล่าวคือมีการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตในที่นาหรือสวนของเกษตรกร
การใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะโดยอาศัยโซลาร์สูบน้ำนั้นตกอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ซึ่งให้นิยามของ "ทรัพยากรน้ำสาธารณะ" หมายความว่า น้ำในแหล่งน้ำที่ประชาชนใช้หรือที่สงวนไว้ให้ประชาชนใช้ร่วมกัน หรือโดยสภาพประชาชนอาจใช้ประโยชน์ร่วมกัน และให้หมายความรวมถึงแม่น้ำ ลำคลอง ทางน้ำ บึง แหล่งน้ำใต้ดิน ทะเลสาบ น่านน้ำภายในทะเลอาณาเขต พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งน้ำตามธรรมชาติอื่น ๆ แหล่งน้ำที่รัฐจัดสร้างหรือพัฒนาขึ้นเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน แหล่งน้ำระหว่างประเทศที่อยู่ภายในเขตประเทศไทยซึ่งประชาชนนำมาใช้ประโยชน์ได้ ทางน้ำชลประทานตามกฎหมายว่าด้วยการชลประทาน และน้ำบาดาลตามกฎหมายว่าด้วยน้ำบาดาล
นอกจากนี้ พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ยังให้นิยามของ "การใช้น้ำ" เอาไว้ว่า การดำเนินกิจกรรมในทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศ จารีตประเพณี การบรรเทาสาธารณภัย เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การท่องเที่ยว คมนาคม การประปา การผลิตพลังงาน หรือเพื่อประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะทำให้น้ำมีปริมาณเปลี่ยนไปหรือไม่ก็ตาม
การใช้ทรัพยากรน้ำถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 โดยกำหนดให้ "การเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพ" เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำ "ประเภทที่หนึ่ง" ซึ่งเป็นการใช้น้ำที่ไม่ต้องขอรับใบอนุญาตการใช้น้ำและไม่ต้องชำระค่าใช้น้ำ แต่หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำข้อมูลการใช้น้ำประเภทที่หนึ่งที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ และจัดส่งข้อมูลดังกล่าวต่อสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561
แต่หากเป็นการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการอุตสาหกรรมแล้ว จะถือเป็นการใช้น้ำ "ประเภทที่สอง" ซึ่งจะต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ หรืออธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล แล้วแต่กรณี โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการลุ่มน้ำที่ทรัพยากรน้ำสาธารณะนั้นตั้งอยู่ตามมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ซึ่งผู้ใช้น้ำประเภทนี้จะต้องเสียค่าใช้น้ำ และผู้ใช้น้ำจะต้องติดตั้งเครื่องมือวัดหรือประเมินปริมาณน้ำที่ใช้ และเก็บข้อมูลที่จำเป็นเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้วแต่กรณี ตรวจสอบตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561
หากการสูบน้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะโดยอาศัยโซลาร์สูบน้ำนั้นเป็นการทำการเกษตรแบบ "ยังชีพ" แล้ว เกษตรกรไม่ต้องขอรับใบอนุญาตใช้น้ำและไม่ต้องเสียค่าใช้น้ำ ซึ่งย่อมก่อให้เกิดคำถามว่า "ยังชีพ" คืออะไร หากมีการ "ขาย" ผลิตทางการเกษตรยังจะถือว่าเป็นเกษตรยังชีพหรือไม่ ? ในประเด็นนี้ ผู้เขียนเห็นว่าการขายผลผลิตไม่ได้เป็นจุดตัดสินเดียวที่จะตอบว่าการเกษตรนั้นเป็นการเกษตรเพื่อยังชีพหรือไม่ ภายใต้ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ผลผลิตทางการเกษตรนั้นสามารถนำมาบริโภคเองในครัวเรือนและสามารถนำไปขายเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงชีพ โดยอาจจะมีตัวอย่างเช่น คนในชุมชนใช้ปั๊มกำลังต่ำ (ระดับกิโลวัตต์ต้น ๆ ) สูบน้ำขึ้นแทงก์เพื่อใช้อุปโภคบริโภคและรดผักแปลงเล็กของครัวเรือนเป็นหลัก ผักที่ปลูกได้จะถูกบริโภคเองเป็นหลัก ส่วนที่เหลือจะนำไปจำหน่ายในตลาดสดใกล้ ๆ ชุมชน
ขณะที่เป็นกรณีของเกษตรในเชิงอุตสาหกรรมนั้น อาจเป็นกรณีที่ "บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตร" ติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังการผลิตหลายเมกะวัตต์ ครอบคลุมฟาร์มและโรงงานจำนวนมากเพื่อรองรับภาระพลังงานของระบบเพาะเลี้ยงและกระบวนการผลิต สะท้อนวัตถุประสงค์เชิงธุรกิจและการเชื่อมต่อห่วงโซ่ตลาดอย่างชัดเจน
ผู้เขียนเห็นว่า หากรัฐบาลมอง "โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร" เป็นส่วนหนึ่งของ "โครงการโซลาร์ภาคประชาชน" แล้ว คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพิจารณาด้วยว่า โซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตรที่รัฐบาลหมายถึงนั้นเป็นไปเพื่อเฉพาะการเกษตรแบบยังชีพหรือเปิดกว้างเป็นโครงการเกษตรแบบอุตสาหกรรม ความชัดเจนนี้จะช่วยให้ความ "Big" เป็นจริงได้มากขึ้น
หากโซลาร์เซลล์ที่ใช้เพื่อผลิตไฟฟ้ามาหล่อเลี้ยงการทำงานของเครื่องสูบน้ำ (หรือระบบรดน้ำ ระบบควบคุมสภาพอากาศภายในโรงเรือน ระบบควบคุมความชื้น และระบบให้ความร้อน ระบบไฟส่องสว่างภายในฟาร์มหรือบริเวณรอบ ๆ สวน จ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ในฟาร์มสัตว์เลี้ยง) นั้นมีกำลังการผลิตต่ำกว่า 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์ แล้วการผลิตไฟฟ้านี้จะได้รับการยกเว้นตามมาตรา 3 (1) แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดประเภท ขนาด และลักษณะของกิจการพลังงานที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2552 ให้ไม่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้าจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรที่ได้รับการยกเว้นจะต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับที่ตั้ง ประเภทและขนาดของการผลิต ต่อสำนักงาน กกพ. (กรณีอยู่ในกรุงเทพมหานคร) หรือสำนักงาน กกพ. ประจำเขต (กรณีอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร) ตามข้อ 4 และข้อ 5 ของประกาศคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเรื่องการกำหนดให้กิจการพลังงานที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตเป็นกิจการที่ต้องแจ้ง พ.ศ. 2551
จากข้อกฎหมายข้างต้นจะเห็นได้ว่า หากการเพาะปลูกของเกษตรกรนั้นเป็นแบบ "ยังชีพ" ซึ่งมีการใช้น้ำทรัพยากรน้ำสาธารณะในปริมาณไม่มากโดยอาศัยปั๊มโซลาร์ที่ใช้ไฟฟ้าไม่ถึง 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์แล้ว เกษตรกรในกรณีนี้ย่อม "ไม่มีภาระที่จะต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า" เพียงแต่ต้องแจ้งข้อมูลต่อสำนักงาน กกพ. เท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากเป็นโครงการเกษตรขนาดใหญ่ที่ประกอบกิจการแบบอุตสาหกรรมเกษตรแล้วซึ่งระบบสูบน้ำนั้นต้องใช้ไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตตั้งแต่ 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์ขึ้นไปแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจเกษตรย่อมต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจาก กกพ.
หากเกษตรกรมีแนวคิดที่จะจ้างบุคคลอื่นเพื่อให้บริการติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อรองรับแนวคิด Agrivoltaics แล้ว คำถามคือการให้บริการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากบุคคลอื่นจะสามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่ ? การให้บริการนี้เกี่ยวข้องกับ "หลักเกณฑ์การอนุญาตสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองและ/หรือจ้างผู้อื่นผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในกิจการตนเอง (Independent Power Supply: IPS)" ซึ่งสำนักงาน กกพ. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นในระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม ถึง 10 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ("ร่างหลักเกณฑ์ IPS")
ร่างหลักเกณฑ์ IPS ระบุถึงความเป็นไปได้ที่ภาคเอกชนที่จะผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองได้ทั้งการผลิตด้วยตนเองหรือให้ผู้อื่นผลิตให้เพื่อใช้ในกิจการตนเอง (Self-Use) โดยจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่มีของเดิมของการไฟฟ้า (กฟผ. กฟน. และ กฟภ.) และต้องไม่กระทบต่อการใช้ทางสาธารณะของประชาชนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งร่างหลักเกณฑ์ข้างต้นมีแนวคิดที่จะอนุญาตให้มีการผลิตไฟฟ้าซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถให้ผู้อื่นผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในกิจการตนเองในพื้นที่ของผู้ใช้ไฟฟ้าและผู้ใช้ไฟฟ้าต้องยินยอมให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเข้าใช้ประโยชน์ในการประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าบนพื้นที่ของผู้ใช้ไฟฟ้า รวมถึงต้องไม่ผ่านทางสาธารณะและพื้นที่เอกชนอื่น
ตามร่างหลักเกณฑ์ IPS นั้นย่อมหมายความว่าหากเกษตรกรให้บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์เข้าติดตั้งและใช้งานระบบผลิตไฟฟ้าในที่ดินของตน และทำสัญญาที่จะรับซื้อไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้เหล่านี้โดยไม่มีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้า (กฟผ. กฟน. และ กฟภ.) และไม่ได้กระทบต่อการใช้ทางสาธารณะของประชาชนแล้ว บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าย่อมสามารถขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจาก กกพ. ได้ (เช่น หากผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์ขึ้นไป) เรียกได้ว่าเป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างเอกชนในภาคการเกษตร
โดยสรุป ผู้เขียนเห็นว่ารัฐบาลควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจนว่าสิทธิในการผลิตและใช้ไฟฟ้าโดยตัวเกษตรเองและกรณีที่เกษตรกรจ้างผลิตไฟฟ้าในที่ดินของตนเพื่อรองรับแนวคิด Agrivoltaics นั้นเป็นสิ่งที่รัฐสนับสนุน เป็นอิสระของเกษตรกรที่จะดำเนินการโดยไม่ต้องรอ "โควต้า" ใด ๆ จากรัฐ เกษตรกรมีทางเลือกที่จะผลิตและใช้ไฟฟ้าของตัวเองได้ตามกรอบข้อกฎหมายเกี่ยวข้อง เกษตรกร (ไม่ว่าจะเป็นการเกษตรแบบยังชีพหรือแบบอุตสาหกรรมก็ตาม) ย่อมมีสิทธิใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะได้ และขณะเดียวกันเกษตรกร (และผู้รับจ้างผลิตไฟฟ้าให้เกษตรกรเพื่อใช้เอง) ย่อมสามารถแจ้งการผลิตต่อสำนักงาน กกพ. หรือขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าหากเป็นการผลิตไฟฟ้าเกินกว่า 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์จาก กกพ. ได้ กรณีการใช้น้ำจากปั๊มโซลาร์ซึ่งอาศัยระบบผลิตที่กำลังต่ำกว่า 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์เพื่อการเกษตรแบบยังชีพนั้นเป็นรูปแบบที่ระบบการอนุญาตไม่ได้สร้างภาระให้กับเกษตรกรเนื่องจากเกษตรกรไม่ต้องขอรับใช้น้ำและไม่ต้องขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าอีกด้วย
ผศ.ดร.ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ ผู้อำนวยการหลักสูตร LL.M. (Business Law)
หลักสูตรนานาชาติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย