เงินเฟ้อ พ.ย. ติดลบต่อเนื่องเดือนที่ 8 แต่ดีกว่าตลาดคาด ทั้งปีคาด -0.15 ถึง -0.2% ก่อนกลับมาโต 0.0-1.0% ปี 69

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 3, 2025 11:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

เงินเฟ้อ พ.ย. ติดลบต่อเนื่องเดือนที่ 8 แต่ดีกว่าตลาดคาด ทั้งปีคาด -0.15 ถึง -0.2% ก่อนกลับมาโต 0.0-1.0% ปี 69

ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย เดือนพ.ย. 68 ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 (จากตลาดคาด -0.6% ถึง -0.7%) โดยคาดเงินเฟ้อทั้งปี 68 จะอยู่ที่ -0.15% ถึง -0.20% โดยเป็นการติดลบในรอบ 5 ปี ส่วนแนวโน้มเงินเฟ้อปี 69 คาดอยู่ที่ 0.0-1.0%

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย เดือนพ.ย. 68 เท่ากับ 100.15 ลดลง 0.49%YoY (จากที่ตลาดคาด -0.6% ถึง -0.7%) โดยเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ส่งผลให้เงินเฟ้อในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย. 68) ลดลง 0.12%

เงินเฟ้อ พ.ย. ติดลบต่อเนื่องเดือนที่ 8 แต่ดีกว่าตลาดคาด ทั้งปีคาด -0.15 ถึง -0.2% ก่อนกลับมาโต 0.0-1.0% ปี 69

ทั้งนี้ เงินเฟ้อเดือนพ.ย. 68 เป็นการลดลงในอัตราที่ชะลอตัว (ต.ค. 68 ลดลง 0.76%) โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงลดลง มาจากราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้าครัวเรือน และน้ำมันเชื้อเพลิง ปรับลดลงตามสถานการณ์พลังงานในตลาดโลก และมาตรการลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ ขณะที่สินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากลดลงต่อเนื่องมา 3 เดือน จากการสูงขึ้นของราคาผักสด อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก

ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือนพ.ย. 68 อยู่ที่ 101.64 หรืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เพิ่มขึ้น 0.66% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ทำให้เฉลี่ย 11 เดือนปีนี้ (ม.ค.-พ.ย. 68) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เพิ่มขึ้น 0.86%

สำหรับราคาสินค้าและบริการในเดือนพ.ย. 68 เมื่อเทียบกับเดือนก.ย. ที่ผ่านมา พบว่า สินค้าและบริการ ที่ราคาเพิ่มขึ้นมี 223 รายการ อาทิ ปลาทู ผักชี ผักบุ้ง กะทิสำเร็จรูป กาแฟผงสำเร็จรูป กาแฟ กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง ค่าเช่าบ้าน ค่าบริการขนขยะ และค่าแต่งผมชาย เป็นต้น ส่วนสินค้าและบริการที่ราคาลดลงมี 191 รายการ อาทิ ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว เนื้อสุกร ไข่ไก่ ต้นหอม กระเทียม ขิง มะม่วง น้ำดื่มบริสุทธิ์ อาหารเดลิเวอรี่ ค่ากระแสไฟฟ้า น้ำยาระงับกลิ่นกาย รถยนต์ และน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น ขณะที่สินค้าและบริการที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงมี 50 รายการ

*ประเมินเงินเฟ้อทั้งปี 68 ที่ -0.15% ถึง -0.20% ติดลบในรอบ 5 ปี

นายนันทพงษ์ ประเมินว่า เงินเฟ้อทั้งปี 68 จะอยู่ที่ -0.15% ถึง -0.20% โดยเป็นการติดลบในรอบ 5 ปี (ตั้งแต่ปี 63 ที่ -0.85%) ปัจจัยหลักจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และมาตรการภาครัฐช่วยค่าครองชีพ ดังนั้น คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อเดือนธ.ค. 68 จะอยู่ที่ -0.48% ถึง -1.08%

สำหรับโครงการคนละครึ่งพลัส กระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนต.ค.-พ.ย. 68 ดังนั้น หากมีมาตรการต่าง ๆ ทั้งคนละครึ่งพลัส และมาตรการลดดอกเบี้ยครัวเรือนต่าง ๆ ในระยะยาวมากขึ้น ทั้งหมดจะเป็นส่วนช่วยครัวเรือนด้านอุปสงค์ และจะช่วยให้เงินเฟ้อขึ้นมา

"ที่ผ่านมาเคยมีปีที่เงินเฟ้อติดลบมากกว่าปีนี้ โดยก่อนหน้านี้ในปี 63 ในช่วงโควิด เคยติดลบ 10 เดือนต่อกันที่ -0.85% และในปี 58 เคยติดลบ 12 เดือนติดต่อกันที่ -0.90% จากปัจจัยราคาน้ำมันโลกที่ลดลงอย่างมาก ส่วนปัจจัยที่กดให้เงินเฟ้อลดลง คือปัจจัยภายนอก จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลงอย่างมาก ประกอบกับปัจจัยของภาครัฐที่ช่วยเรื่องค่าครองชีพ โดยเฉพาะเรื่องค่ากระแสไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวกอยู่ จากอุปสงค์ในเรื่องของสินค้าพื้นฐานที่ตัดปัจจัยภายนอกออก" นายนันทพงษ์ กล่าว
*คาดน้ำท่วมภาคใต้กระทบเงินเฟ้อไม่มาก

สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ คาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.01-0.05% หรือส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อไม่มาก สำหรับระยะต่อไป คาดอัตราเงินเฟ้อและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) จะอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก การฟื้นฟูต้องใช้ระยะเวลา ทำให้รายได้ของประชาชนในพื้นที่ลดลง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และค่าห้องพักโรงแรม ประกอบกับหนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคธุรกิจสูงขึ้น

สำหรับวัสดุก่อสร้างเพื่อการฟื้นฟู และของใช้ส่วนบุคคล ราคาอาจเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก เนื่องจาก กระทรวงฯ มีมาตรการกำกับ/ดูแลให้สินค้ามีปริมาณเพียงพอ และราคาไม่ปรับสูงขึ้นมาก ตลอดจนร่วมมือกับผู้ผลิตสินค้า และห้างวัสดุก่อสร้างชั้นนำในการลดราคาสินค้า

ด้านสินค้าอุปโภค บริโภค (วัตถุดิบ อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องประกอบอาหาร อุปกรณ์ทำความสะอาด) ร้านค้าส่วนใหญ่ยังไม่เปิดให้บริการ เนื่องจากไฟฟ้าและน้ำประปายังจ่ายไม่ครบในทุกพื้นที่ ซึ่งกระทรวงฯ มีการกำกับไม่ให้สินค้าขาดแคลน และดูแลราคาให้เหมาะสม รวมทั้งมีการจัดธงฟ้าราคาประหยัดหลังน้ำลด

อย่างไรก็ดี สินค้าที่กังวล คือผักสด ที่คาดว่าราคาจะสูงขึ้นประมาณ 15-20% เป็นระยะเวลา 1 เดือน (ข้อมูลปี 53) ซึ่งเป็นผลกระทบระยะสั้น นอกจากนี้ อาจมีความเสี่ยงของการขึ้นราคาอาหารจานเดียวประมาณ 10-20% ซึ่งจะเป็นผลกระทบระยะยาว เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้หากราคาสูงขึ้นแล้วจะไม่มีการปรับลดลง นอกจากนี้ ค่าแรงและค่าบริการซ่อมแซม มีโอกาสปรับราคาสูงขึ้นมาก

"ในอดีตเมื่อเกิดอุทกภัย หรือเกิดภาวะวิกฤติ ราคาอาหารจานเดียวจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10-20% และสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือราคาขึ้นแล้วไม่ลง ซึ่งกระทรวงฯ ได้สั่งการตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมให้พาณิชย์จังหวัด โดยเฉพาะในภาคใต้ เข้าไปกำกับราคาของอาหารจานเดียวไม่ให้ขึ้นสูง นอกจากนี้ เมื่อไหร่ที่เกิดน้ำท่วมก็จะกระทบตั้งแต่วัตถุดิบ เครื่องจักร และแรงงาน ซึ่งตอนนี้เรื่องแรงงานเบาลงแล้ว เพราะน้ำลดคนเดินทางได้ ส่วนเครื่องจักรก็ต้องซ่อมแซม และอะไรที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตร มีปัญหาเรื่องวัตถุดิบแน่นอน" นายนันทพงษ์ กล่าว

สำหรับผลกระทบต่อการส่งออก นายนันทพงษ์ กล่าวว่า การส่งออกทำสัญญาประมาณ 2 เดือนก่อนหน้า ดังนั้น คาดว่าเดือนหน้าน่าจะเห็นผล อย่างไรก็ดี ผลกระทบของน้ำท่วมต่อการส่งออกอยู่ที่ 815.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ได้เกิดผลกระทบเต็มที่ขนาดนั้น เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้เริ่มคลี่คลาย ดังนั้น เดือนหน้าจะเริ่มเห็นผลแต่ไม่มาก

*คาดเงินเฟ้อปี 69 อยู่ระหว่าง 0.0-1.0%

กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อปี 69 (ณ เดือน ธ.ค. 68) อยู่ระหว่าง 0.0-1.0% (ค่ากลางอยู่ที่ 0.5%) โดยประเมินบนพื้นฐานอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ 1.2-2.2% น้ำมันดิบดูไบ (ทั้งปี) 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน (ทั้งปี) 32.0-33.0 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

- ปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 69 ปรับสูงขึ้น ได้แก่

1. ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากนโยบายรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ ประกอบกับเกษตรกรมีแนวโน้มลดปริมาณการเพาะปลูกสินค้าที่ราคาต่ำในปีก่อนหน้า ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรบางประเภทจะเข้าสู่ตลาดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น

2. ภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 34.9 ล้านคน (เพิ่มขึ้นจาก 33.4 ล้านคน ในปี 68) และมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมอยู่ที่ 2.79 ล้านล้านบาท ทำให้สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องอาจปรับราคาสูงขึ้น

- ปัจจัยกดดันให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 69 ลดลง ได้แก่

1. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลมีแนวโน้มต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปี 68

2. ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่ากระแสไฟฟ้าครัวเรือน ค่าโดยสารสาธารณะ และการตรึงราคาก๊าซ LPG

3. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำเพียง 1.7% ในปี 69 ต่ำกว่าปี 68 ซึ่งอยู่ที่ 2.0% และเป็นการขยายตัวต่ำกว่า 3.0% เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน ทำให้อุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอ และขาดแรงส่งไปยังเงินเฟ้อด้านอุปสงค์

4. มีแนวโน้มนำเข้าเงินเฟ้อต่ำจากต่างประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศสำคัญขยายตัวในระดับต่ำ ส่งผลให้มีการผลิตและการส่งออกสินค้าที่ราคาลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้ไทยนำเข้าสินค้าราคาต่ำ โดยเฉพาะเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

"สำหรับเงินเฟ้อในไตรมาส 1/69 มองแนวโน้มเป็นบวก ถึงแม้ว่าราคาพลังงานยังติดลบอยู่ แต่ราคาสินค้าเกษตรกระเตื้องมากขึ้น จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งที่อาจทำให้เงินเฟ้อไตรมาสแรกเป็นบวกได้" นายนันทพงษ์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ