"ทนง"มอง ECB ใช้ยาแรงไม่ช่วยดันเงินลงสู่ศก.ที่แท้จริง แต่ตลาดหุ้นได้อานิสงส์

ข่าวเศรษฐกิจ Friday March 11, 2016 11:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายทนง พิทยะ อดีตรมว.คลัง เชื่อว่า การที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งมีผลให้อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรเข้าสู่ระดับ 0% และลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ที่ฝากไว้กับ ECB ลงสู่ระดับ -0.4% พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) สู่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน จากเดิมที่ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือนนั้น ถือว่าเป็นยาแรงที่เกินความคาดหมายของหลายฝ่าย ซึ่ง ECB ต้องการนำมาใช้เพื่อหวังว่าจะช่วยให้เงินเฟ้อและเศรษฐกิจในยูโรโซนฟื้นตัวขึ้น ซึ่งตนกลับมองว่ามาตรการนี้ไม่ได้ช่วยทำให้เม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง
"ไม่ใช่ของใหม่ แต่มันสิ้นหวัง ไม่รู้จะแก้อย่างไร การที่ ECB เอามาตรการเหล่านี้มาใช้ได้ เพราะเงินเฟ้อไม่มี พอเงินเฟ้อไม่มี จะฉีดยาแรงๆ ทางการเงินก็ฉีดเข้าไป จนกระทั่งเงินเฟ้อขึ้น หรือพูดง่ายๆ ปั๊มเงินใส่เข้าไป ทำอย่างไรให้เงินกลับเข้าสู่ระบบมากที่สุด แต่หัวใจคือ มันไม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง" อดีต รมว.คลัง กล่าว

พร้อมชี้ให้เห็นว่า การใช้มาตรการยาแรงดังกล่าวของ ECB ไม่ได้ทำให้ทุกประเทศประสบผลสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจเสมอไป เช่น ญี่ปุ่น แม้จะอัดฉีดเงินเข้าไป แต่เม็ดเงินก็ยังไม่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง เพราะพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนก็ยังเป็นเหมือนเดิม ในขณะที่สหรัฐฯ อาจจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจบ้าง เนื่องจากดำเนินมาตรการในลักษณะนี้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว

นายทนง กล่าวว่า การที่เม็ดเงินไม่ได้ลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้น จึงทำให้เม็ดเงินส่วนนี้ไหลไปสู่การลงทุนในตลาดหุ้น ดังเช่นที่ผ่านมาจะเห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น และตลาดหุ้นไทยเองก็ได้รับอานิสงส์ในส่วนนี้ ทั้งๆ ที่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยเองไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด

"เงินพวกนี้ก็จะไปลงทุนในตลาดหุ้น จึงเห็นตลาดหุ้นทั่วโลกกระเพื่อมขึ้น ตลาดหุ้นไทยก็ได้รับผลพวงด้วย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเศรษฐกิจไม่ได้ดีขึ้นเลย มันขึ้นจากปริมาณเงินที่ทะลักอยู่ทั่วโลก เงินมันไหลไปในจุดที่ผลประกอบการดีกว่าที่อื่น ไทยยังดอกเบี้ยสูงกว่าคนอื่น ตลาดหุ้นไทย PE ก็ยังต่ำกว่าที่อื่น ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้น นักลงทุนกระจายเงินที่เหลือจากการอัดฉีด วนอยู่ข้างบน เหมือนก้อนเมฆ ไม่เป็นฝนตกลงมาเสียที ถ้าเป็นฝนตกลงมา มันก็จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง ต้นไม้ก็โตได้ แต่มันไม่ตกเสียที ต้องใช้เวลานานมาก" อดีต รมว.คลัง กล่าว

พร้อมระบุว่า สิ่งที่จะเห็นในช่วงสั้นๆ ภายในระยะเวลา 1 ปีจากนี้ คือ ตลาดการเงินและตลาดหลักทรัพย์จะกระเตื้องขึ้น ขณะที่ทุกประเทศก็ยังพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจกันอยู่ แต่สหรัฐฯ คงเริ่มไม่แน่ใจว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ เพราะแต่ละประเทศทั้งจีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปต่างก็ออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของตัวเองเช่นกัน

"ยาแรงที่ ECB ออกมานี้ คงช่วยประเทศที่จน ประเทศที่มีปัญหา ช่วยแบงค์ยุโรปที่เป็นเจ้าหนี้อยู่ในประเทศทั้งหลายให้มีความสามารถในการปล่อยกู้ ในการเจรจาลดหนี้ ในการดูแลกรีซ อิตาลี คือไปได้ในภาคการเงินการลงทุน แต่ไม่ใช่ภาคเศรษฐกิจแท้จริง ต้องใช้เวลาอีกระยะ...สิ่งที่ไทยจะได้ คือความหวือหวาของตลาดหุ้นที่เงินจะเริ่มไหลเข้ามา" นายทนง กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ