สถาบันปิโตรเลียมแนะรัฐเป็นเจ้าภาพจับควบรวม FPT-แทปไลน์สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงภูมิภาค

ข่าวเศรษฐกิจ Friday March 25, 2016 13:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTIT) กล่าวในการบรรยายเรื่อง “Pipeline Fuel Transports and Regional Connectivity" ในการประชุมและนิทรรศการนานาชาติพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2559 (เซต้า2016) ว่า ปัจจุบันโครงการการขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปผ่านระบบท่อนั้นดำเนินการโดยเอกชน 2 บริษัท คือบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อจำกัด (FPT) ที่ให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อจากโรงกลั่นน้ำมันบางจาก มายังคลังน้ำมันบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา และมีโครงการต่อขึ้นภาคเหนือ

ขณะที่บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (แทปไลน์) ให้บริการขนส่งน้ำมันเส้นทางศรีราชา-สระบุรี และจะต่อขึ้นภาคอีสาน ซึ่งการแยกกันให้บริการลูกค้า ทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการเชื่อมโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำมันไปในภูมิภาค และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ได้เป็นระบบโครงข่ายเดียวกัน

ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงต้องเป็นตัวกลางในการเจรจาให้เกิดการควบรวมกิจการเป็นบริษัทเดียวกัน โดยอาจจะมีรัฐเข้ามาร่วมถือหุ้น หรือเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) เนื่องจากแนวคิดการควบรวมกิจการนั้นทั้งสองบริษัทเคยมีการหารือถึงความเป็นไปได้แล้ว แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ จึงจำเป็นต้องอาศัยกลไกภาครัฐเข้ามาช่วยประสานงาน และให้การสนับสนุน โดยที่เมื่อควบรวมกิจการไปแล้วเอกชนผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัทจะต้องไม่เสียประโยชน์

นายศิริ กล่าวว่า การเชื่อมโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำมัน ของ FPT และแทปไลน์ เข้าด้วยกันจะทำให้การลงทุนส่วนต่อขยายท่อส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ ทุกโรงจะสามารถส่งน้ำมันไปถึงลูกค้าปลายทางในต่างจังหวัดได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย มีต้นทุนที่ถูกลง ทั้งภาคเหนือ คือจากจ.สระบุรี เชื่อมต่อไปถึงจ.พิษณุโลก ลำปาง และในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากลำลูกกา เชื่อมต่อไปยังจ.นครราชสีมา ถึงขอนแก่น และในอนาคตสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์ สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันในภูมิภาคได้ในที่สุด

สถาบันฯ เคยศึกษาถึงประสิทธิภาพของการขนส่งน้ำมันพบว่า ในส่วนของการขนส่งน้ำมันไปในภาคเหนือ ถึงจ.ลำปางนั้น จากเดิมหากใช้รถบรรทุกต้องวิ่งรถไปกลับรวมระยะทางประมาณ 120 ล้านกิโลเมตร/ปี ในขณะที่การเปลี่ยนมาใช้การขนส่งด้วยระบบท่อจะช่วยประหยัดเที่ยวรถเหลือระยะทางประมาณ 50 ล้านกิโลเมตร/ปี ส่วนในเส้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือหากขนส่งด้วยรถบรรทุก จะต้องวิ่งระยะทางรวม144 ล้านกิโลเมตร/ปี แต่ถ้าขนส่งด้วยระบบท่อจะช่วยประหยัดเที่ยวรถเหลือประมาณ 68 ล้านกิโลเมตร/ปี จึงช่วยประเทศประหยัดทั้งน้ำมัน และต้นทุนการขนส่ง ที่จะช่วยให้ผู้ใช้น้ำมันในต่างจังหวัดได้ใช้น้ำมันในราคาที่ถูกลง รวมทั้งมีความปลอดภัยในการขนส่งด้วย

"รัฐไม่ควรมองเฉพาะผลตอบแทนการลงทุนเฉพาะโครงการ แต่ควรมองประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่เมื่อเชื่อมโยงระบบท่อส่งน้ำมันเป็นโครงข่ายเดียวกันแล้ว จะทำให้การขนส่งมีประสิทธิภาพ ผู้บริโภคในต่างจังหวัดรวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านจะได้รับประโยชน์ ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันด้วยระบบท่อ โดยที่เอกชนผู้ให้บริการจะได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้น เมื่อมีปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มมากขึ้น"นายศิริ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ