นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 30.55 บาท/ดอลลาร์ จากเย็นวาน นี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 30.70 บาท/ดอลลาร์
"เงินบาทกลับมาแข็งค่าแต่ยังเป็นการแข็งค่าสุดในรอบ 6 ปี ยังไม่เปลี่ยนแปลง..เนื่องจากดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบสกุล หลัก..มีแรงขายดอลลาร์เข้ามา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงลงต่ำกว่า 2% ในวันนี้" นักบริหารเงิน กล่าว
สำหรับวันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทไว้ระหว่าง 30.50-30.65 บาท/ดอลลาร์
"ต้องรอดูบริเวณ 30.50 ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญว่าจะเบรกหรือไม่ รวมทั้งท่าทีของทางการกรณีเงินบาทกลับมาแข็งค่าอีก และ ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับยุโรป" นักบริหารเงิน กล่าว
นอกจากนี้ต้องรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญฯ อื่นๆของสหรัฐฯ เช่น ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.จาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ
THAI BAHT FIX 3M (2 ก.ค.) อยู่ที่ระดับ 1.47575% ส่วน THAI BAHT FIX 6M อยู่ที่ระดับ 1.44168%
- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 107.54 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่อยู่ที่ 108.26 เยน/ดอลลาร์
- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1292 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่อยู่ที่ 1.1309 ดอลลาร์/ยูโร
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 30.7060 บาท/ดอลลาร์
- ธนาคารทหารไทย ระบุว่า ความผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลกเริ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี
นี้ต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวจากผลกระทบสงครามการค้า ความชัดเจนเบร็กซิท รวมทั้งติดตามแนวโน้มนโยบายการ
เงินของธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางประเทศอื่นที่มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยและเริ่มมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น
- ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง เปิดเผยถึงเหตุการณ์ประท้วงใหญ่ว่า ได้ส่งผล
กระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางการเมืองของฮ่องกง ส่วนด้านการค้าสำหรับผู้ส่งออกไทยที่ส่งสินค้าไปฮ่องกงยังไม่ได้รับผลกระทบ เพราะ
หากการประท้วงครั้งนี้รุนแรงและยืดเยื้อจะส่งผลกับการบริโภคและธุรกิจในฮ่องกงก่อน แต่มีข้อสังเกตว่าผู้ประท้วงมักจะเลือกดำเนินการใน
วันสุดสัปดาห์เพื่อไม่ให้กระทบกับการค้าภาคธุรกิจในประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกไทยควรติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ
ภาคการเงิน ได้มีแหล่งข้อมูลแจ้งว่ามีการย้ายเงินทุนออกไปจากฮ่องกงเช่นกัน
- ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. เตรียมเสนอให้รัฐบาลใหม่ ปรับเพิ่มงบประมาณ ปี
63 อีกประมาณ 5-6% จากปี 62 ที่ได้งบประมาณ 6.8 พันล้านบาท เพื่อมาดูแลภาคการท่องเที่ยว เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์การท่อง
เที่ยวได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายในอย่างต่อเนื่อง จึงต้องหาทางกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้
ในปี 63 ททท. ตั้งเป้าหมายต้องสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้ได้ 10% หรือคิดเป็นรายได้รวม 3.72 ล้านล้านบาท
- กระทรวงอุตฯ มั่นใจลงทุนปีนี้แตะ 4.3 แสนล้าน รออานิสงส์ครึ่งปีหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จ ดึงเชื่อมั่นคึกคัก สำรวจ
ครึ่งปีแรกปิโตรเลียมทุ่มงบมากที่สุด 3.8 หมื่นล้าน โตกระฉูด 2,369% แต่จ้างงานลดลงกว่า 5% เหตุเริ่มใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทน
- ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 51.7 ในเดือน
มิ.ย. จากระดับ 52.1 ในเดือนพ.ค.
- ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ปรับตัวลงสู่ระดับ 47.6 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3
เดือน จากระดับ 47.7 ในเดือนพ.ค. โดยดัชนี PMI ยังคงปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตของยูโรโซนยังคงเผชิญภาวะ
หดตัวในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการหดตัวเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน
- ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (2 ก.ค.)
เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวสหรัฐขู่เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันหลังจาก
ภาคการผลิตทั่วโลกชะลอตัวลง ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลง ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานของสหรัฐใน
สัปดาห์นี้ โดย ADP จะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.ของสหรัฐในวันนี้ และกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้าง
งานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.ในวันศุกร์
- สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้เสนอให้มีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจาก EU จำนวน 89 รายการ คิดเป็น
มูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรายการสินค้าดังกล่าวครอบคลุมถึง ชีส นม กาแฟ วิสกี้ ผลิตภัณฑ์เนื้อหมู และผลิตภัณฑ์โลหะบางชนิด เช่น
ทองแดง โดย USTR จะจัดทำประชาพิจารณ์ในเดือนหน้าเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวต่อ EU
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กดีดตัวขึ้นมาปิดที่เหนือระดับ 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์ได้อีกครั้งเมื่อคืนนี้ (2 ก.ค.) เนื่องจากนัก
ลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาทองคำร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเพิ่ม
ความน่าดึงดูดให้กับทองคำ
- นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.จาก
ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนพ.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI)
ภาคบริการเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนมิ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), คำสั่งซื้อภาคโรงงานเดือน
พ.ค. และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์:
[email protected]