พาณิชย์ เผยอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ FTA-GSP ช่วง 10 เดือนปี 62 ลดลงตามทิศทางการส่งออก

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 23, 2019 15:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า สถานการณ์การใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.62) มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ รวมอยู่ที่ 60,316.64 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ อยู่ที่ 78.03% ลดลง 2.95% สอดคล้องกับทิศทางการส่งออกที่ลดลง 2.4% โดยแบ่งเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) 55,885.19 ล้านดอลลาร์ และมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) 4,431.45 ล้านดอลลาร์

โดยการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง FTA ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 จำนวน 12 ฉบับ (ไม่รวมความตกลงอาเซียน-ฮ่องกงที่เพิ่งจะมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2562) มีมูลค่า 55,885.19 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 79.59% ของมูลค่าการส่งออกรวมในรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 70,215.10 ล้านดอลลาร์ ลดลง 4.30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอันเนื่องมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงปัจจัยด้านค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่า

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ FTA ในภาพรวมจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาแต่ยังมีตลาดศักยภาพที่มีการขยายตัวของอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ได้แก่ (1) เปรู ขยายตัวดีที่ 28.10% มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น ถุงมือใช้ในทางศัลยกรรม รถจักรยานยนต์ความจุกระบอกสูบ 250-500 ลบ.ซม. เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและเครื่องครัว เป็นต้น (2) จีน ขยายตัวที่ 3.77% มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น ทุเรียนสด ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง เป็นต้น และ (3) ญี่ปุ่น ขยายตัวที่ 0.11% มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น ปลาแมคเคอเรล ไก่ปรุงแต่ง กุ้งปรุงแต่ง เป็นต้น สำหรับตลาดที่มีการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ FTA ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อาเซียน (ลดลง 7.02%) ออสเตรเลีย (ลดลง 13.98%) ชิลี (ลดลง 28.77%) อินเดีย (ลดลง 1.75%) และเกาหลี (ลดลง 5.82%)

ขณะที่ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 ตลาดที่ไทยส่งออกซึ่งมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง FTA สูงสุด 5 อันดับแรกยังคงเป็น (1) อาเซียน (มูลค่า 20,836.78 ล้านดอลลาร์) (2) จีน (มูลค่า 15,263.48 ล้านดอลลาร์) (3) ออสเตรเลีย (มูลค่า 6,743.59 ล้านดอลลาร์) (4) ญี่ปุ่น (มูลค่า 6,347.48 ล้านดอลลาร์) และ (5) อินเดีย (มูลค่า 3,654.57 ล้านดอลลาร์ญสหรัฐฯ) กรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) อาเซียน-จีน (100%) 2) ไทย-ชิลี (100%) (3) ไทย-เปรู (90.62%) (4) ไทย-ญี่ปุ่น (89.01%) และ (5) อาเซียน-เกาหลี (82.98%) และรายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ทุเรียนสด ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง และน้ำตาลจากอ้อย

ส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP รในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ไทยยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP จำนวน 4 ระบบ คือ สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราช และนอร์เวย์ โดยมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP ในช่วง 10 เดือนแรกอยู่ที่ 4,431.45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 62.51% ของมูลค่าการส่งออกรวมในรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ซึ่งมีมูลค่า 7,089.13 ขยายตัวต่อเนื่องที่ 18.06% สำหรับ 10 เดือนแรกของปี 2562 ตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ มากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา มีมูลค่าการใช้สิทธิอยู่ที่ 4,029.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราการใช้สิทธิฯ 66.96% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิฯ ซึ่งมีมูลค่า 6,017.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา 11.57% ถัดมาคือ สวิตเซอร์แลนด์ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 262.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีอัตราการใช้สิทธิฯ ที่ 35.02% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 749.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 1.55% ส่วนรัสเซียและเครือรัฐ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 118.56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีอัตราการใช้สิทธิฯ ที่ 79.97% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 148.24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 14.08% และนอร์เวย์ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 19.70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีอัตราการใช้สิทธิฯ ที่ 86.75% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 22.71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 17.54% สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ระบบ GSP สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ ถุงมือยางอื่นๆ อาหารปรุงแต่งอื่นๆ น้ำผลไม้ และเลนส์แว่นตา

นายกีรติ กล่าวว่า ในปี 2562 ไทยในฐานะประธานอาเซียนได้เร่งผลักดันและสนับสนุนการดำเนินการของประเทศสมาชิกอาเซียนที่ยังไม่เข้าร่วมการเชื่อมโยงระบบการแลกเปลี่ยนหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Form D) ให้สามารถเข้าร่วมได้สำเร็จ เพื่อเพิ่มทางเลือกและส่งเสริมการอำนวยความสะดวกทางการค้าในอาเซียน ล่าสุดได้มีการเชื่อมโยงระบบดังกล่าวเป็นผลสำเร็จเพิ่มอีก 2 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา และสปป.ลาว ซึ่งพร้อมจะเข้าร่วมระบบ e-Form D ภายใต้กรอบอาเซียนแล้ว โดยกรมการค้าต่างประเทศจะเริ่มใช้แนวทางการอำนวยความสะดวกกับสองประเทศดังกล่าวผ่านระบบ e-Form D ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ระบบ e-Form D ถือเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ประกอบการในการขอใช้สิทธิพิเศษทางภาษี ณ ประเทศปลายทางในกลุ่มอาเซียน จากเดิมที่สามารถใช้เอกสารการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ 2 แบบ คือ Form D ที่เป็นกระดาษ และเอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของผู้ส่งออก (Self Certification) ประกอบการดำเนินพิธีการทางศุลกากร เพื่อขอลดหย่อน/ยกเว้นภาษี ณ ประเทศปลายทางที่นำเข้าสินค้า ทั้งนี้ ปัจจุบัน ไทยดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูล e-Form D กับประเทศสมาชิกอาเซียน 6 ประเทศ (รวมไทยเป็น 7 ประเทศ) ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน และกัมพูชา แล้ว ดังนั้น หากเริ่มใช้ระบบดังกล่าวกับเมียนมาและ สปป. ลาว ก็จะคงเหลือประเทศฟิลิปปินส์เท่านั้นที่อยู่ในระหว่างการทดสอบระบบช่วงสุดท้าย อย่างไรก็ดี กรมฯ คาดว่าฟิลิปปินส์จะสามารถใช้งานระบบ e-Form D ได้ในช่วงต้นปี 2563


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ