Fair Finance Thailand ให้คะแนนการเงินเป็นธรรมแบงก์ไทยปี 62 พบ 2 แบงก์ขยับขึ้น-4 แบงก์ร่วง-3 แบงก์ทรงตัว

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday March 10, 2020 16:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าคณะวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand) เปิดเผยผลการประเมินคะแนนการเงินที่เป็นธรรม 9 ธนาคารไทย โดย Fair Finance Thailand ได้ประเมินจากแนวนโยบายของแต่ละธนาคาร ตลอดปี 62 ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นปีที่ 2 ของการดำเนินงานติดตามผลกระทบและความท้าทายของธุรกิจธนาคาร ต่อสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค มุ่งผลักดันการธนาคารที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยใช้แนวปฏิบัติการเงินที่เป็นธรรมนานาชาติ (Fair Finance Guide International) มาเป็นเกณฑ์ประเมินนโยบายด้านต่างๆของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารธนชาต ธนาคารทหารไทย ธนาคารทิสโก้ และธนาคารเกียรตินาคิน

โดยการประเมินนี้แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมฯ พิจารณาคะแนนจากเนื้อหานโยบายและแนวปฏิบัติในการลงทุนและการให้บริการทางการเงินของสถาบันการเงิน เปรียบเทียบกับมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืนที่เกี่ยวข้องหัวข้อประเมิน มีทั้งสิ้น 12 หัวข้อ ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การทุจริตคอร์รัปชั่น ความเท่าเทียมทางเพศ สิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน ธรรมชาติ ภาษี ความเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าอาวุธ การคุ้มครองผู้บริโภค การขยายบริการทางการเงิน การตอบแทน และความโปร่งใสและความรับผิดชอบ

สำหรับคะแนนการประเมินในปีนี้ พบว่าธนาคารทั้ง 9 แห่ง ได้คะแนนเฉลี่ย 21.31 คะแนน จากคะแนนเต็ม 120 คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีแรก 5.1% ธนาคารที่ได้คะแนนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ธนาคารทหารไทย (TMB) 22.6% ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) 20.7% ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) 20.3% ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) 17.2% และ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) 17.0%

ในปีนี้ธนาคารที่ทำอันดับได้ดีขึ้นมีสองแห่งคือ TMB ที่ขยับขึ้นจากอันดับ 9 มาสู่อันดับ 1 และ BBL ที่ขยับจากอันดับ 6 มาเป็นอันดับ 5 ขณะเดียวกันมีธนาคาร 4 แห่งที่มีอันดับร่วงลงจากปีแรก ได้แก่ SCB TISCO KTB และ KKP ส่วน 3 ธนาคารที่เหลือ คือ KBANK BAY TBANK ยังคงรักษาอันดับในการประเมินได้เท่าเดิมจากปีแรก

เมื่อดูผลการประเมินรายหมวด ธนาคาร 9 แห่งโดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกหมวด หมวดที่ธนาคารได้คะแนนสูงสุด 3 หมวดแรก ยังคงเป็นหมวดเดียวกันกับผลการประเมินนโยบายปี 61 ได้แก่ หมวดการขยายบริการทางการเงิน เพิ่ม 5.1% (คะแนนเฉลี่ยปีนี้ 54.4% จาก 49.3% ในปีก่อน) หมวดการคุ้มครองผู้บริโภค เพิ่ม 12.1% (คะแนนเฉลี่ยปีนี้ 46.8% จาก 34.7% ในปีก่อน) และหมวดการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน เพิ่ม 0.9% (คะแนนเฉลี่ยปีนี้ 42.6% จาก 41.7% ในปีก่อน)

นอกจากนี้หมวดที่ธนาคารส่วนใหญ่ได้คะแนนรวมโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเช่นกัน ได้แก่ หมวดอาวุธ รองลงมาคือหมวด ภาษี ค่าตอบแทน สิทธิแรงงาน และ สิทธิมนุษยชน ตามลำดับ

หมวดที่ธนาคารได้คะแนนน้อยที่สุดและได้คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 5% มี 5 หมวด ได้แก่ หมวดธรรมชาติ เพิ่มขึ้น 1.7% (จาก 0.0% ในปีก่อน เป็น 1.7% ในปีนี้) โดยมีธนาคารทหารไทยเป็นธนาคารเพียงแห่งเดียวที่เปิดเผยนโยบายในหมวดนี้ หมวดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพิ่มขึ้น 1.2% (จาก 1.2% ในปีก่อน เป็น 2.3% ในปีนี้) หมวดความเท่าเทียมทางเพศ เพิ่มขึ้น 1.3% (จาก 1.5% ในปีก่อน เป็น 2.8% ในปีนี้) หมวดสิทธิมนุษยชน เพิ่มขึ้น 0.9% (จาก 1.7% ในปีก่อน เป็น 2.6% ในปีนี้) และหมวดค่าตอบแทน เพิ่มขึ้น 2.3% (จาก 1.8% ในปีก่อน เป็น 4.1% ในปีนี้)

ทั้งนี้ ธนาคารไทยโดยรวมยังไม่มีการประกาศนโยบายสินเชื่อ (Credit Policy) ซึ่งรวมถึงแนวทางป้องกันความเสี่ยงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนต่อสาธารณะที่เป็นเสมือนคำมั่นสัญญาที่มีต่อผู้บริโภคว่าธนาคารจะไม่ปล่อยกู้ให้กับธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสังคมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยกเว้นธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ โดยธนาคารกสิกรไทยเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของนโยบายสินเชื่อของธนาคาร แต่ยังไม่เปิดเผยนโยบายสินเชื่อรายอุตสาหกรรม ส่วนธนาคารทหารไทยเปิดเผยนโยบายที่ชัดเจนมากกว่า


ด้านการขยายบริการทางการเงินเป็นหัวข้อที่ธนาคารไทยโดยรวมได้คะแนนค่อนข้างดี ไม่มีธนาคารใดได้คะแนนต่ำกว่า 20% ในหมวดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความตื่นตัวของธนาคารไทยทุกแห่งต่อกระแสธนาคารดิจิทัล (Digital Banking) ซึ่งขยับขยายพรมแดนของการให้บริการทางการเงินออกไปจากเดิม

ในบรรดาหมวดที่ธนาคาร 9 แห่ง ยังคงได้คะแนนน้อย คือ หมวดความเท่าเทียมทางเพศ ได้คะแนนเฉลี่ยเพียง 2.8% และหมวดค่าตอบแทนได้คะแนนเฉลี่ย 4.1% สะท้อนถึงภาวะที่ธนาคารไทยโดยส่วนใหญ่ยังไม่เปิดเผยนโยบายที่ชัดเจนด้านการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในองค์กร และมีมาตรการป้องกันและบรรเทาการเลือกปฏิบัติทางเพศต่อลูกค้าอย่างไร รวมทั้งยังไม่มีหลักเกณฑ์อื่นนอกเหนือจากการพิจารณาด้วยผลประกอบการทางธุรกิจมาใช้ในการประเมินค่าตอบแทนแก่พนักงาน เช่น การใช้เกณฑ์ความพึงพอใจของพนักงาน ความพึงพอใจของลูกค้า และการปรับปรุงผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ทั้งนี้ในภาพรวมมองว่าธนาคารไทยตื่นตัวสู่ความเป็นธรรมและยั่งยืน ทำให้มีความเชื่อมั่นว่าธนาคารไทยทุกแห่งสามารถใช้เกณฑ์การประเมิน Fair Finance Guide International เป็นแนวทางพัฒนานโยบายสินเชื่อ (Credit Policy) ได้ รวมถึงสามารถนำไปสู่การพัฒนารายการอุตสาหกรรมที่ธนาคารมีนโยบายไม่สนับสนุนทางการเงินเพราะมีแนวโน้มสร้างผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมสูง (Exclusion List) ตลอดจนพัฒนานโยบายอื่นๆ ที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนตามหลักการธนาคารที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต อีกทั้งเป็นการขับเคลื่อนตามแนวปฏิบัติการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ

"การที่ธนาคารทุกแห่งมีคะแนนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีแรก สะท้อนว่าธนาคารไทยมีความตื่นตัวมากขึ้นต่อการเปิดเผยนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเงินที่เป็นธรรมและความยั่งยืนในมิติต่างๆ ทางคณะวิจัยเองก็รับรู้ได้ถึงการเปิดรับและความตื่นตัว โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีในช่วงการเข้าหารือในช่วงรับฟังความคิดเห็น รวมทั้งธนาคารหลายแห่งมีการเปิดเผยนโยบายเพิ่มเติมบนเว็บไซต์ทางการของตัวเอง"นางสาวสฤณี กล่าว
แท็ก thailand  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ