สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้นในประเทศจีนกำลังสร้างแรงกดดันให้กับบริษัทภายในประเทศ อีกทั้งยังส่งผลกระทบถึงผู้ประกอบการในฮ่องกงและไต้หวัน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มโดยทั่วไปของบริษัทจีนยังเป็นบวก
"คุณภาพสินเชื่อของบริษัทรายใหญ่ๆในจีน ฮ่องกง และไต้หวันยังมีแนวโน้มที่ดีในปีนี้ แต่อันดับเครดิตของบริษัทประกันของจีนมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็มีความผันผวนมากขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน S&P คาดว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปี 2551 ของจีนจะปรับตัวลงสู่ระดับ 9.3% จากระดับ 11.4% ในปีที่แล้ว ถึงกระนั้น S&P มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนจะช่วยลดผลกระทบจากภายนอก อาทิ ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น" S&P กล่าวในรายงาน
"ส่วนมุมมองด้านลบที่ S&P มีต่อเศรษฐกิจจีนนั้น ได้แก่เรื่องเม็ดเงินเก็งกำไรที่ไหลบ่าเข้ามาภายในประเทศ ซึ่งเม็ดเงินประเภทนี้จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจีนในปี 2551" S&P กล่าว
ทั้งนี้ S&P เตือนว่า ภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อจะฉุดรั้งอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและจะทำให้ผลประกอบการถดถอยลง นอกจากนี้ S&P ระบุว่ารายได้ผู้บริโภคของจีนที่ปรับตัวลดลง อัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น และตลาดที่อยู่อาศัยที่มีราคาแพง จะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจจีนผันผวน
"การที่สถาบันการเงินของจีนใช้มาตรการเข้มงวดในการปล่อยกู้จะทำให้บริษัทบางกลุ่มระดมทุนยากขึ้น ซึ่งบริษัทเหล่านี้ ได้แก่ บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ ส่วนปัจจัยลบอื่นๆได้แก่ สกุลเงินหยวนที่แข็งแกร่งขึ้น แรงกดดันจากต้นทุนด้านแรงงาน" S&P กล่าว สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์:
[email protected]