"มิ่งขวัญ" อำลาพาณิชย์ฝากงาน "ไชยา" คุมราคาสินค้ากันเงินเฟ้อพุ่ง

ข่าวเศรษฐกิจ Monday August 4, 2008 17:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รมว.อุตสาหกรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ได้เดินทางมาทำงานที่กระทรวงพาณิชย์เป็นวันสุดท้าย พร้อมฝากงานแก่นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ คนใหม่ ที่จะเข้าทำงานวันที่ 6 ส.ค.เป็นวันแรก ให้ช่วยดูแลปัญหาราคาสินค้าและเงินเฟ้อ
"สิ่งที่อยากฝากข้าราชการและรัฐมนตรีคนใหม่คือ การดูแลราคาสินค้า เงินเฟ้อ แม้ราคาน้ำมันขณะนี้ลดลงเหลือบาร์เรลละ 120 เหรียญ แต่มีโอกาสจะขยับขึ้นได้อีก และคงต้องขอบคุณเอกชนผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และสมาคมผู้เลี้ยงหมู ที่ร่วมมือดูแลในเรื่องราคาสินค้า" นายมิ่งขวัญกล่าว
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า ตลอด 5 เดือนของการทำงานที่กระทรวงพาณิชย์ถือว่าได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว และพอใจกับการทำงานที่ผ่านมาโดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากข้าราชการทุกคน ทั้งนี้รู้สึกภูมิใจกับยอดส่งออกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะเฉลี่ยครึ่งปีแรกขยายตัวได้ถึง 23% หรือมูลค่ากว่า 87,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ 12.5% และสูงกว่าเป้าท้าทายของตนที่กำหนดไว้ 15% เพราะได้ให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศทบทวน และเพิ่มตัวเลขส่งออกให้มากขึ้น เน้นเปิดตลาดใหม่ และจัดโครงการเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจไทยกับต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ
นอกจากนี้ยังสามารถดูแลเงินเฟ้อในระดับที่น่าพอใจ แม้ 6 เดือนแรกของปีนี้ จะขยายตัว 6.3% และสูงกว่ากรอบเงินเฟ้อทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 5.0-5.5% แต่เป็นเพราะสถานการณ์ราคาน้ำมันสูงขึ้นถึง 3 เท่าตัว จนต้องขอความร่วมมือผู้ผลิตให้ตรึงราคาสินค้า เพราะหากปล่อยให้ปรับขึ้นราคาอัตราเงินเฟ้อคงจะสูงมากกว่านี้
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีกำหนดว่าจะเชิญผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคมาหารือถึงมาตรการดูแลสินค้าเมื่อไหร่ รวมถึงการพิจารณาโครงสร้างต้นทุนสินค้าที่ผู้ผลิตได้ยื่นขอปรับขึ้นราคามาก่อนหน้านี้ เพราะต้องรอนโยบายของ รมว.พาณิชย์ คนใหม่ก่อน
แต่ขณะนี้ปัจจัยที่มีผลต่อต้นทุนสินค้ากำลังเปลี่ยนแปลงไปทั้งราคาน้ำมัน และราคาวัตถุดิบนำเข้าที่เริ่มอ่อนตัวลง แต่ทั้งนี้ก็พร้อมที่จะเชิญประชุมผู้ประกอบการได้ทันที หาก รมว.คนใหม่ต้องการ
อย่างไรก็ดี ใน 2-3 วันจะประชุมอนุกรรมการพิจารณาราคานมและผลิตภัณฑ์ เพื่อสรุปการปรับขึ้นราคาขายปลีกให้สอดคล้องกับต้นทุนน้ำนมดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 14.50 บาท เป็น 18 บาท เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเหลื่อมล้ำในเรื่องราคาต้นทุน และราคาขายปลีกปลายทาง รวมถึงไม่ให้ผู้ประกอบการใช้เป็นข้ออ้างกดราคาซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร โดยใช้เหตุผลว่ายังไม่ได้รับอนุมัติให้ปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์นม คาดอาจอนุมัติให้ปรับขึ้นได้ไม่เกินกล่องละ 75 สต.- 1 บาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ